คลายข้อสงสัย โรคไตเกิดจากอะไร? รู้เร็ว รักษาทัน ป้องกันไตเสื่อมไตเปรียบเสมือนโรงงานบำบัดน้ำเสียภายในร่างกายของมนุษย์ ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อกรองของเสียและรักษาสมดุลของน้ำและแร่ธาตุ แต่เมื่อไตทำงานหนักเกินไปหรือเกิดความเสียหาย ก็อาจนำไปสู่โรคไตเรื้อรัง ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของใครหลายคน ทำให้ การฟอกไต อาจกลายเป็นภารกิจประจำวันที่ไม่มีใครอยากเผชิญ บทความนี้จะพาทุกคนสำรวจสาเหตุของโรคไตที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ พร้อมเปิดเผยเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ ไต อย่างง่ายดายในชีวิตประจำวัน
โรคไต คืออะไร
โรคไต คือภาวะที่ไตทำงานน้อยลงหรือทำงานผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อร่างกาย เนื่องจากไตมีหน้าที่สำคัญในการกำจัดของเสียและสารพิษ พร้อมทั้งควบคุมการสมดุลของน้ำและแร่ธาตุในร่างกายด้วยการสร้างฮอร์โมน หากไตมีปัญหาหรือไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม จะส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆในร่างกาย และเป็นเหตุให้เกิดโรคไตหลายรูปแบบ เช่น ไตวาย ไตอักเสบ กรวยไตอักเสบ และนิ่วในไต
โรคไตเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมของการทำงานของไต โดยสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ ไตวายเฉียบพลัน และ ไตวายเรื้อรัง ซึ่งแต่ละประเภทมีโอกาสในการรักษาหายแตกต่างกันไป
โรคไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury)
โรคไตวายเฉียบพลันคือภาวะที่การทำงานของไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาเป็นวันถึงสัปดาห์ อาการของไตวายเฉียบพลันประกอบด้วย
ปัสสาวะออกน้อยกว่าปกติ
ขาบวม หนังตาบวม
อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน
การรักษาไตวายเฉียบพลันสามารถรักษาให้หายขาดได้ ถ้าผู้ป่วยมาพบแพทย์และรับการรักษาทันท่วงทีภายใน 3 เดือนหลังจากเริ่มมีอาการ การรักษาจะรวมถึงการให้ยารักษาภาวะช็อค การรักษาการติดเชื้อ และการปรับสมดุลของสารน้ำในร่างกาย
โรคไตวายเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)
โรคไตวายเรื้อรังเป็นภาวะที่การทำงานของไตเสื่อมลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีอาการแสดงในช่วงแรกไม่เด่นชัดเหมือนไตวายเฉียบพลัน อาการที่พบบ่อยคือ
อ่อนเพลีย ซีด เบื่ออาหาร
คันตามตัว ผิวแห้ง
ปัสสาวะกลางคืนบ่อย หรือเกิน 2 ครั้งต่อคืน
โรคไตวายเรื้อรังคนไข้ส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเนื้อเยื่อไตเสียหายเป็นเวลานานจนเกิดพังผืดในไต การรักษาจะเน้นที่การชะลอการเสื่อมของไต โดยการควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด การรับประทานอาหารที่เหมาะสม และการใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง
สาเหตุของโรคไต เกิดจากอะไร
โรคไตเป็นภาวะที่ไตทำงานไม่ปกติหรือเสื่อมลง ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคไต ไม่ใช่แค่การบริโภคอาหารเค็มเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ร่างกายมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตด้วย ดังนี้:
1. โรคประจำตัวที่มีผลกระทบกับไต
โรคเบาหวาน: ระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำลายหลอดเลือดในไต ทำให้ไตเสื่อมลง
ความดันโลหิตสูง: ความดันโลหิตสูงทำลายหลอดเลือดในไต ทำให้การทำงานของไตลดลง
โรคหัวใจและหลอดเลือด: โรคเหล่านี้ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปยังไตลดลง ส่งผลให้ไตทำงานไม่ปกติ
โรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกิน: ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและเบาหวานซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไต
โรคเกาต์: ระดับกรดยูริกในเลือดสูงทำให้เกิดการสะสมในไตและทำลายเนื้อเยื่อไต
โรคแพ้ภูมิตนเอง: เช่น Lupus ซึ่งสามารถทำให้เกิดการอักเสบของไต
การสูบบุหรี่เรื้อรัง: ทำลายหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต
2. ภาวะไตผิดปกติตั้งแต่กำเนิด
ไตฝ่อไตที่มีขนาดเล็กกว่าปกติและทำงานไม่สมบูรณ์ มีมวลเนื้อไตลดลงทำให้ไตไม่สามารถกรองของเสียได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้นและเสื่อมลงเร็วขึ้น
3. ภาวะหลอดเลือดฝอยในไตอักเสบ
การอักเสบของหลอดเลือดฝอยในไต (Glomerulonephritis) ทำให้ไตไม่สามารถกรองของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจเกิดจากการติดเชื้อหรือภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ
4. การติดเชื้อทางเดินระบบปัสสาวะส่วนบนช้ำหลายครั้ง
การติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องสามารถลุกลามไปถึงไตและทำให้เกิดการอักเสบของไตได้
5. การตรวจพบนิ่วในไตหรือระบบทางเดินปัสสาวะ
นิ่วในไตหรือทางเดินปัสสาวะทำให้เกิดการอุดตันและการอักเสบในไต ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเสื่อมสภาพของไต
6. การตรวจพบถุงน้ำในไตมากกว่า 3 ตำแหน่งขึ้นไป
ถุงน้ำในไต (Cysts) ทำให้ไตมีขนาดใหญ่ขึ้นและการทำงานลดลง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคไต
7. ประวัติครอบครัวเป็นโรคไตเรื้อรัง
หากมีคนในครอบครัวที่เป็นโรคไตเรื้อรัง โอกาสที่สมาชิกในครอบครัวจะเป็นโรคไตก็จะสูงขึ้น
8. การได้รับยาในกลุ่มยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs
การใช้ยากลุ่ม NSAIDs ในระยะยาวสามารถทำลายเนื้อเยื่อไต เช่นเดียวกับการสัมผัสกับสารพิษที่ทำลายไต (Nephrotoxic agents)
9. ดื่มน้ำน้อยเกินไป
การดื่มน้ำน้อยทำให้เกิดภาวะขาดน้ำของไต ทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้นและมีโอกาสเกิดนิ่วในไตหรือทางเดินปัสสาวะ
10. รับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง
อาหารบางชนิดมีโซเดียมสูงถึงแม้ทานแล้วจะรู้สึกว่าไม่เค็ม แต่ก็ส่งผลต่อไต เช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ำจิ้มสุกี้ อาหารแปรรูป แฮม เบคอน ขนมกรุบกรอบ ผลไม้กระป๋อง อาหารหมักดอง ผักกาดดอง ไข่เค็ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผงฟู สารกันบูด สารกันเชื้อราในขนมปัง
6 สัญญาณเตือนโรคไตที่ควรระวัง
ไตอาจส่งสัญญาณเตือนผ่านอาการต่าง ๆ การสังเกตและเข้าใจสัญญาณเหล่านี้ช่วยให้รับการรักษาได้ทันท่วงที ลดความเสี่ยงจากโรคไตร้ายแรง สัญญาณเตือนที่ควรสังเกต ได้แก่
1. ปัสสาวะผิดปกติ: สีแปลก ขุ่น หรือมีฟอง
ปัสสาวะมีเลือดปนหรือขุ่น: อาจเกิดจากการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีนิ่วในไต
ปัสสาวะเป็นฟอง: บ่งชี้ว่ามีโปรตีนรั่วออกมา แสดงถึงไตทำงานผิดปกติ
2. ปัสสาวะไม่สบาย: แสบ ขัด หรือบ่อยผิดปกติ
ปัสสาวะแสบขัด: อาจเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน: สัญญาณว่าไตอาจทำงานไม่ปกติ
3. อาการบวม: ตื่นมาพบว่าตัวบวม
บวมรอบดวงตา ใบหน้า: มักพบหลังตื่นนอน
ขาและเท้าบวม: โดยเฉพาะหลังยืนนาน ๆ
สาเหตุ: ไตไม่สามารถขับของเสียและน้ำออกจากร่างกายได้ดี
4. ปวดหลัง: ไม่ใช่แค่ปวดธรรมดา
ปวดบริเวณบั้นเอวหรือชายโครง: อาจร้าวไปที่ท้องน้อย ต้นขา หรืออวัยวะเพศ
สาเหตุ: อาจเกิดจากนิ่วในไตหรือการอักเสบของไต
5. น้ำหนักเปลี่ยนแปลง: ขึ้นลงผิดปกติ
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
น้ำหนักขึ้นเนื่องจากบวมน้ำ
ทั้งสองกรณีอาจบ่งชี้ถึงปัญหาการทำงานของไต
6. อ่อนเพลียผิดปกติ: เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น
รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง แม้จะนอนหลับเพียงพอ
อาจเกิดจากการสะสมของเสียในร่างกายเนื่องจากไตทำงานไม่ดี
คำเตือน: หากพบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบการทำงานของไต การตรวจพบและรักษาแต่เนิ่น ๆ ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้
6 สัญญาณเตือนโรคไต
อาหารที่ควรเลี่ยงของคนป่วยโรคไต
การดื่มน้ำมากเกินไป: หากเป็นไตวายระยะสุดท้ายที่มีปัสสาวะออกลดลงหรือมีอาการบวม ต้องจำกัดน้ำดื่มไม่ให้เกิน 700 – 1,000 ซีซีต่อวันเพื่อป้องกันการเสื่อมของไตและป้องกันการบวมน้ำและน้ำท่วมปอด
เครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูง: เช่น น้ำปลา ซีอิ้วขาว ซอสปรุงรส เพราะการบริโภคโซเดียมมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไต ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
อาหารที่มีพิวรีนมาก: สารพิวรีน (purine) เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่มีอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทั่วไป โดยพิวรีนพบอย่างเข้มข้นในเนื้อสัตว์ เช่น เครื่องในสัตว์ทุกชนิด ได้แก่ ไก่ เป็ด วัว และผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น
อาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง: ฟอสฟอรัสเป็นแร่ธาตุสำคัญที่จำเป็นต่อร่างกาย พบได้ใน ไข่แดง นม ชีส โยเกิร์ต เนยแข็ง ผลไม้ที่มีเมล็ด เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น
ผักสีเข้ม: ควรหลีกเลี่ยงผักสีเข้ม เช่น บร็อคโคลี่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ เนื่องจากมีโพแทสเซียมสูง
อาหารรสเค็มจัด: เช่น อาหารแปรรูป อาหารหมักดอง ไส้กรอก แฮม เบคอน เป็นต้น
อาหารที่มีคลอเลสเตอรอลสูง: เช่น อาหารทะเล อาหารฟาสต์ฟู้ด ไข่แดง นม และไขมันอิ่มตัวจากพืชและสัตว์ เช่น กะทิ น้ำมันปาล์ม มันหมู เป็นต้น
อาหารมีโปรตีนมาก: ควรควบคุมปริมาณเนื้อสัตว์ในอาหาร เพื่อป้องกันการทำงานหนักของไต โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย
อาหารที่มีแป้งสูง: ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีแป้งสูง เช่น ข้าวเจ้า ก๋วยเตี๋ยว มักกะโรนี เป็นต้น
หมายเหตุ:
ข้อมูลนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น ผู้ป่วยโรคไตควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ปริมาณอาหารที่ผู้ป่วยโรคไตสามารถรับประทานได้จะขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสภาพร่างกายของผู้ป่วย ผู้ป่วยโรคไตควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ และธัญพืช
โรคไตเมื่อเป็นแล้วสามารถรักษาให้หายได้ไหม?
การรักษาโรคไต ขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสาเหตุของโรคไตที่เป็นอยู่ ซึ่งมีวิธีการรักษาหลายวิธี
การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
เป็นการนำเลือดไปผ่านเครื่องกรองหรือที่เรียกว่าเครื่องไตเทียม เพื่อขจัดของเสียและน้ำส่วนเกินจากในร่างกาย และนำกลับคืนไปยังผู้ป่วย เป็นวิธีที่ใช้เวลามากถึง 4-5 ชั่วโมงต่อครั้ง และ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
การล้างไต
ใส่น้ำยาล้างไตเข้าไปในช่องท้องและอาศัยการทำงานของเยื่อบุช่องท้องในการแลกเปลี่ยนของเสียต่างๆ แล้วจึงทำการระบายน้ำยาล้างไตทิ้ง ซึ่งวิธีนี้ต้องทำการผ่าตัดใส่สายยางเข้าไปในร่างกายสำหรับส่งน้ำยาล้างไตเข้าไปในช่องท้อง ซึ่งต้องทำวันละ 4 ครั้งต่อเนื่องทุกวัน
การปลูกถ่ายไต
การผ่าตัดนำไตที่ยังสุขภาพดีและทำงานได้ดีจากผู้บริจาคไปยังผู้ป่วยโรคไต การใช้วิธีนี้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพดี แต่จำเป็นต้องทานยากดภูมิต้านทานอย่างสม่ำเสมอ
วิธีป้องกันโรคไต
1. ตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี
สังเกตความผิดปกติของร่างกาย เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะบ่อยขึ้น อ่อนเพลีย บวมน้ำ และตรวจวัดความดันโลหิต วัดระดับน้ำตาลในเลือด และตรวจวัดค่า Creatinine และ eGFR ซึ่งเป็นค่าที่บ่งบอกถึงการทำงานของไตเป็นประจำ
2. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสม ลดการทานเนื้อสัตว์ติดมัน ไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์ และอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารแปรรูป อาหารหมักดอง อาหารกึ่งสำเร็จรูป
3. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวัน
การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ลดภาระการทำงานของไตควรดื่มน้ำให้กระจายตลอดทั้งวัน ไม่ควรดื่มน้ำมากเกินไปในคราวเดียว
4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ การออกกำลังกายจะช่วยควบคุมความดันโลหิต น้ำหนักตัว ระดับน้ำตาลในเลือด และเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม
5. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
การมีน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคไต ควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ BMI ไม่เกิน 25 กิโลกรัมต่อตารางเมตร และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารและออกกำลังกาย
6. พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ต่อวัน
การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเอง ลดความเครียด ควรนอนหลับพักผ่อนเป็นเวลา
7. หลีกเลี่ยงสารเสพติด
การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ เสพสารเสพติด ล้วนส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม ควรงดสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และเสพสารเสพติดทุกชนิด
8. หลีกลี่ยงการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานๆ
ควรปัสสาวะเมื่อรู้สึกอยากปัสสาวะ ไม่ควรกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน การกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานจะส่งผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะและไต
9. หลีกเลี่ยงกลุ่มยาที่อาจมีผลต่อไต
ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน ไดคลอเฟแนค ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยาดังกล่าว
10. อย่าหลงเชื่อโฆษณาอาหารเสริมหรือสมุนไพรที่แอบอ้างสรรพคุณเกินจริง
ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานอาหารเสริมหรือสมุนไพรทุกชนิด เพราะอาหารเสริมหรือสมุนไพรบางชนิดอาจส่งผลต่อการทำงานของไต
การมีไตที่แข็งแรงเป็นรากฐานสำคัญของสุขภาพที่ดี การทำความเข้าใจการทำงานของไตและการดูแลสุขภาพไตอย่างถูกวิธี จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ การนำความรู้ที่ได้จากบทความนี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการดื่มน้ำให้เพียงพอ จะช่วยป้องกันและชะลอความเสื่อมของไตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมตรวจสุขภาพไตเป็นประจำ เพื่อตรวจหาภาวะผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ และปรึกษาแพทย์เมื่อมีข้อสงสัย การดูแลสุขภาพไตตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้มีชีวิตที่มีคุณภาพและสุขภาพที่ดีในระยะยาว
เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และอย่าปล่อยให้ค่ารักษาพยาบาล มาทำให้แผนการใช้ชีวิตไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ เพราะค่ารักษาพยาบาลที่ไม่คาดคิดอาจสร้างปัญหาให้กับเงินออมและแผนการใช้ชีวิตได้ ให้ประกันสุขภาพจาก ชับบ์ ไลฟ์ ช่วยดูแลด้วยแบบประกันสุขภาพคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและผ่าตัด ประกันชดเชยรายได้ และประกันโรคร้ายแรงมอบความคุ้มครองสุขภาพที่ครอบคลุม เพื่อปกป้องผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เมื่อเจ็บป่วยและต้องรักษาตัว