motor expo: MG4 2 รุ่นใหม่ XPOWER VS MG4 X รุ่นไหนเหมาะกับใคร?ทีมงาน Checkraka มีโอกาสร่วมทดสอบขับขี่ MG4 ELECTRIC 2 รุ่นใหม่พร้อมกับทาง Carznova สื่อนักทดสอบรถที่มีดีกรีอดีตลงสนาม Toyota Altis One Make Race และรายการ REVO 24HR เพื่อแชร์ประสบการณ์ในการลองของใหม่กับ MG4 X รุ่นประกอบไทยที่ปรับปรุงใหม่ทั้งฟังก์ชั่นการใช้งานและราคาที่ประหยัดมากขึ้น และอีกรุ่นที่กำลังมาแรงเป็นกระแสคือ MG4 XPOWER ที่มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ AWD พลัง 435 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร มาดูกันว่ารุ่นไหนน่าสนใจและจะเหมาะสมกับการใช้งานอย่างไรตามมาครับ!
MG4 ประกอบไทย 4 รุ่นย่อย เริ่ม 709,900 บาท
MG4 ELECTRIC รุ่นปี 2024 มีประกอบในประเทศไทยมีให้เลือก 4 รุ่นย่อย เริ่มต้นที่
MG4 D Standard Range มอเตอร์กำลังสูงสุด 170 แรงม้า (125 KW) กับแรงบิด 250 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง ความจุแบตเตอรี่ 49 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุด 423 กม. NEDC ราคา 709,900 บาท
MG4 X Standard Range มอเตอร์กำลังสูงสุด 170 แรงม้า (125 KW) กับแรงบิด 250 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง ความจุแบตเตอรี่ 49 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุด 423 กม. NEDC ราคา 809,900 บาท (เพิ่มจากรุ่น D 100,000 บาท)
MG4 V Long Range มอเตอร์กำลังสูงสุด 170 แรงม้า (125 KW) กับแรงบิด 250 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง ความจุแบตเตอรี่ 64 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุด 540 กม. NEDC ราคา 889,900 บาท (เพิ่มจากรุ่น X อีก 80,000 บาท)
โดยที่ทั้ง 3 รุ่นนี้มีการอับเดทระบบใหม่ เช่น หน้าจอกลางระบบสัมผัส 12 นิ้ว ใหม่รองรับ ระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Andriod แบบไร้สาย, กล้องมองรอบคัน 360 องศา (เว้นรุ่น D มีเฉพาะกล้องถอยหลัง) ที่ภาพยังไม่ค่อยชัดเท่าที่ควร โหมดขับขี่ 4 รูปแบบ มีโหมด ปรับตั้งค่าเอง Custom ได้ตามต้องการ ส่วนระบบความปลอดภัยนั้นก็มีให้ครับจากพื้นฐานในรุ่น D และแบบเต็มระบบในรุ่น X ขึ้นไป นอกจากนี้ยังอับเดทให้จดจำการปรับตั้งค่าครั้งสุดท้าย เช่น การเปิด-ปิดระบบ ช่วยเหลือการขับขี่ แต่ว่าโหมดการขับขี่ยังคงเป็นโหมด Eco และการหน่วงความเร็ว (KERS) ระดับ 3 เป็นค่าเริ่มต้นเสมอ และในรุ่นใหม่นี้ขยายที่วางแก้วน้ำข้างประตูให้ใหญ่ขึ้น ติดตั้งมือจับภายใน และมีใบปัดฝนกระจกหลังมาให้เรียบร้อยแล้ว
มาถึงรุ่น XPOWER AWD ที่นับเป็น Performance ประจำรุ่น มาพร้อมมอเตอร์คู่หน้า-หลังกำลังสูงสุด 435 แรงม้า (320 KW) กับแรงบิด 600 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ ความจุแบตเตอรี่ 64 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุด 480 กม. NEDC ราคา 1,119,900 บาท (เพิ่มจากรุ่น V 230,000 บาท) ภายนอกสีเขียว WILD HUNTER GREEN / BLACK TOP (มีสีเดียว) สเกิร์ตหน้าเป็นสีดำเงา กาบข้างประตูลายสปอร์ต ล้ออัลลอย 18 นิ้ว ยาง Brigdestone turanza ev ขาดแค่หน้าจอกลางที่ยังเป็นขนาด 10 นิ้ว เหือนเดิมจากรุ่นก่อนหน้า
ขับสนุกทั้งคู่ แต่ XPOWER เดือดจัด!
การทดสอบ MG4 ทั้ง 2 รุ่นนี้ ได้สัมผัสกันครบ ๆ ทั้งรุ่นประกอบไทยพลังมอเตอร์เดี่ยวขับหลัง 170 แรงม้า 250 นิวตันเมตร ที่สเปคคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และรุ่น XPOWER มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ระดับ 435 แรงม้า 600 นิวตันเมตร ซึ่งส่วนตัวเองนั้นได้สัมผัส XPOWER มาก่อนหน้านี้เป็นเวลา 3 วันแล้ว ทั้งการขับขี่ใช้งานทั่วไป ทั้งทดสอบอัตราเร่งและขับที่ความเร็วสูง ๆ บอกเลย...มันสุด ๆ แรงตรงปก 400 กว่าม้า
MG4 XPOWER AWD แรงสะใจ ช่วงล่างแน่น
MG4 XPOWER AWD ยอมรับเลยว่าสมรรถนะเทียบเท่ารถสปอร์ตแรง ๆ สบาย ๆ อัตราเร่งออกตัวแทบจะกระโดดออก และทำความเร่งเร่งไปไปอย่างต่อเนื่องแทบไม่มีอาการ "ห้อย-แรงตก" ให้รู้สึกเลยแม้จะใช้ความเร็วสูง ๆ แล้วก็ตาม ก็ยังเติมคันเร่งได้ทันใจมาก ๆ แม้จะเร่งจากความเร็วสูง ๆ ที่ 100 กม./ชม. ขึ้นไปก็ยังสามารถทำอัตราเร่งได้ทันใจ
การใช้โหมดต่าง ๆ มีความแตกต่างกันเล็กน้อย โดยสำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยหรืออาจจะไม่เคยลองขับมาก่อน ให้ค่อย ๆ ทำความคุ้มเคยกับการเร่ง แนะนำให้เริ่มด้วยโหมด "ECO" ก่อน เพิ่มเรียนรู้พลังในการกระชาก ซึ่งโหมด ECO นี้จะปรับการตอบสนองคันเร่งให้หน่วง ๆ เล็กน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ถ้าจุ่มคันเร่งเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย รถก็จะตอบสนองไวขึ้นและให้ความกระชับกระเฉิงสั่งได้ตามเท้า นับว่าใกล้เคียงกับโหมด Normal มาก ๆ โหมดนี้จะทำให้ประหยัดไฟเพิ่มขึ้น โดยดูได้จากระยะทางที่วิ่งได้จะเพิ่มจากโหมด Normal ราว ๆ 30- 40 กม. และจะใช้ระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้อหลังเป็นหลัก เพื่อประหยัดพลังงาน แต่ถ้าต้องการอัตราเร่งแซงก็แค่ "กดคันเร่งเพิ่ม" เท่านั้น รถก็พร้อมจะตะกาย 4 ล้อเร่งได้ทันใจปลอดภัยไม่แตกต่างจากโหมดอื่น ๆ เลย และด้วยความเป้นขับเคลื่อน 4 ล้อที่มีชุดขับเคลื่อนด้านหน้าจึงทำให้รัศมีวงเลี้ยวกว้างกว่ารุ่นปกติเล็กน้อย
โหมด "Normal" จะถูกตั้งเป็นค่าโรงงานเมื่อติดระบบทุกครั้ง ดังนั้นถ้าจะเริ่มจากโหมดนี้ก็ย่อมได้ โดยคันเร่งจะตอบสนองไวขึ้นแบบ "ปกติ" ของรถรุ่นนี้ แต่ก็ตอบสนองไวมาก ๆ เมื่อเทียบกับรถ่นปกติ เนื่องจากกำลังมอเตอร์ที่มีเหลือ ๆ พร้อมจะกระโจนออกตัวตลอดเวลา ในโหมดนี้จะเป็นการใช้พลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าล้อหลังเป็นหลักเช่นกัน แต่จะมีการแปรผันระบบขับเคลื่อนล้อด้านหน้า
ในกรณีที่ใช้อัตราเร่งหรือรถเกิดอาการเสียหลัก เสียการควบคุมมอเตอร์ที่ล้ิหน้าก็จะทำงานผสานกันด้วย โดยเฉพาะเมื่อกดคันเร่งจมมิต เมื่อออกตัวไปสักระยะมอเตอร์หน้าจึงจะทำงาน ซึ่งจะมีอาการรอยต่อที่พอจะจับความรู้สึก ช่วงเร่งออกตัวล้อหลังจะปั่นจนเมื่อล้อเกือบจะหมุนฟรีหรือลื่นไถล มอเตอร์ด้านหน้าจะเริ่มทำงาน ตัวรถจะถูกดึง พวงมาลัยและหน้ารถก็จะนิ่งขึ้นและเร่งออกไปอย่างรวดเร็วไม่มีอาการล้อฟรีเลย สรุปคือ จะมีอาการเหมือนแรงดึง 2 จังหวะเบา ๆ คือ มอเตอร์ล้อหลังถีบตัวรถให้เร่งออกไปด้านหน้าจะลอย ๆ เบา ๆ และมอเตอร์ล้อหน้าทำงาน (ในเวลาเสี้ยววินาที) จะรับรู้เลยว่าล้อหน้ามีแรงมาดึงให้หน้ารถนิ่งขึ้นและเร่งความเร็วไปแบบนิ่ง ๆ เนียน ๆ
โหมด "SPORT" เน้นพลังและเป็นระบบ AWD ตลอดเวลา เพื่อความสนุก ให้พลังรวมแรงมากขึ้นไปอีก อัตราเร่งดีขึ้นและปลอดภัย แต่แลกกับระยะทางวิ่งที่ลดลงจากโหมด Normal ราว ๆ ๆ 30 - 40 กม. และก็ใช้พลังงานจากแบตฯ มากตามกำลังแรงม้า เมื่อดูบนมาตรวัดการใช้พลังงานอยู่ที่ 20 - 22 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. ซึ่งในโหมดนี้หรือว่ารถคันนี้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดพลังงานเลยดีกว่าครับ เพราะว่ากำลังระดับ 400 กว่าแรงม้า ย่อยต้องใช้ไฟเยอะเป็นปกติ
โหมด "Custom" สามารถตั้งค่าการขับได้ละเอียดขึ้น เลือกโหมดขับขี่ต่าง ๆ เลือกน้ำหนักพวงมาลัย เบา/ปกติ/หนัก ได้ ส่วนตัวถ้าขับเร็ว ๆ พวงมาลัยหนักจะขับง่ายควบคุมดี ไม่เบาหวิวเกินไปในความเร็วสูง ๆ แต่ถ้าขับขี่ในเมืองบ่อย ๆ ใช้ปกติกำลังดีครับ เลี้ยวง่ายคล่องตัว อาจจะเบาหวิวบ้างในความเร็วสูงก็ต้องขับอย่างระมัดระวังมากขึ้น และถัดมาก็ปรับตั้งน้ำหนักแป้นเบรกได้ตามความถนัด และใน XPOWER ฟังก์ชั่น One-Paddle มาให้ใช้งานอีกด้วย ซึ่งขับได้ในคันเร่งเดียวและความหน่วงมากเป็นพอเศษจนถึงจุดหยุดนิ่ง
เพิ่มเติม Snow อีก 1 โหมดความจริงไม่ใช่ใช้ขับบนหิมะ เพียงแต่เป็นโหมดใช้ขับขี่ผ่านสภาพถนนเปียกลื่น อันตรายมาก ๆ พร้อมจะหลุดโค้งเสียหลักหรือล้อรถหมุนฟรีทิ้งตลอดเวลา เหมือนขับขี่บนถนนที่มีฝุ่นทราย โคลน หรือคราบลื่น ๆ ต่าง ๆ ที่ปกคลุมผิวถนนอยู่ การใช้โหมดนี้จะช่วยลดกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าลง ทำให้การเคลื่อนตัวของรถไปได้ง่ายโดยระบบควบคุมล้อหมุนฟรีจะทำงานละเอียดรวดเร็วขึ้น เพื่อให้ประคองรถผ่านไปได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าผู้ขับจะกดคันเร่งมากเท่าไหร่ระบบก็จะตัดกำลังให้เหมาะสมกับสภาพผิวถนนนั้นอัตโนมัติครับ
ระบบการ Regenerator ทั้ง 2 รุ่นจะตั้งเป็นระดับ 3 คือหน่วงสุดเอาไว้ทุกครั้งที่เริ่มสตาร์ทระบบ แต่สามารถปรับเองได้โดยการปัดหน้าจดกลางลง-ไปเลือกที่ "KERS" 1-2-3 ซึ่งระดับความหน่วง 3 นั้น นับว่าช่วยชะลอค่อนข้างมากหน่อย เหมือนการแตะเบรก แนะนำให้ใช้ระดับ 2 กำลังดีครับจะหน่วยเบา ๆ ลงกว่า แต่ถ้าอยากได้ฟิลใกล้เคียงรถยนต์สันดาปก็ไประดับ 1 เลยครับ
MG4 X Standard Range ขับสนุกสะดวกสบายกำลังดี
MG4 X เป็นรุ่นที่ทุกอย่างคงเดิมทั้งสมรรถนะ สเปคต่าง ๆ รวมแล้วเท่ากับรุ่นก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่ามีการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนและอุปกรณืบางส่วนเพิ่มเติม เช่น หน้าจอกลางสัมผัสใหม่ 12 นิ้ว ที่วางแก้วน้ำขนาดใหญ่ขึ้นใส่แก้วใหญ่ยอดฮิตได้แล้ว ซึ่งสมรรถนะต่าง ๆ นั้นยังขับสนุกและช่วงล่างเกาะถนนได้ดีเช่นเดิม แต่เมื่อเทียบกับรุ่น Xpower ช่วงล่างจะนุ่มนวลมากกว่า เ้นขับขี่สบายแต่ก็ยังพอจะ "ซิ่ง" ได้อยู่บ้างจากพื้นฐานอิสระ 4 ล้อ
พละกำลัง 170 แรงม้า กับแรงบิด 250 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง ความจุแบตเตอรี่ 49 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุด 423 กม. NEDC นับว่าใช้งานเพียงในชีวิตประจำวัน อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ราว ๆ 8 วินาที และระยะทางใช้จริงประมาณ 250 - 280 กม. จาก 423 กม. ต่อชาร์จ ใช้ในเมืองเป็นหลักได้สบาย ยิ่งที่เครื่องชาร์จที่บ้านก็กลับมาเสียบไฟก่อนนอนได้เลย
โหมดการขับขี่มีครบ 4 แบบ เช่นเดียวกับ Xpower โดยเฉพาะโหมด Custom ที่ตั้งค่าได้เหมือนกัน แต่ยังไม่มีระบบ One-Paddle และระบบหน่วงความเร็ว KERS ก็มี 3 ระดับ และทุกครั้งที่ดับเครื่องและติดใหม่จะตั้งระดับ 3 เป็นค่าเริ่มต้นเช่นกัน ส่วนการตั้งค่าระบบช่วยเหลือการขับขี่นั้น มีระบบจำค่าล่าสุดเรียบร้อย ไม่ต้องมาคอยเปิดปิดระบบใหม่ทุกครั้งเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้
สมรรถนะเกินพอใช้งานอัตราเร่งดีทั้งต้นและปลาย ให้ความรู้คล้ายกับเครื่องยนต์เบนซินขนาดใหญ่ 2.0 - 2.5 ลิตร แต่ไม่ต้องรอรอบ เหยียบคันเร่งปุ๊บมาปั๊บทันใจมาก และขอเน้นย้ำว่า....ควรปรับตัวและทำความคุ้นเคยกับคันเร่งระบบเบรกให้มั่นใจก่อนจะลองใช้อัตราเร่งกับความเร็ว แม้ว่ากำลังจะไม่แรงเท่าตัว Performance แต่แรงบิดระดับ 250 นิวตันเมตร ก็ถือว่าหากไม่ได้บ่อย ๆ ในรถยนต์สันดาปทั่วไป
XPOWER AWD
ช่วงล่างของทั้ง 2 รุ่นนี้มีความคาเร็คเตอร์แตกต่างชัดเจนเริ่มที่ XPOWER นับว่าหนึบแน่น ตึงมือที่สุดในกลุ่มรถระดับเดียวกัน เพราะมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเข้ามาเสริม การขับขี่ในความเร็วทั่วไปนั้น กระชับมือ ควบคุมง่าย มั่นใจ ยิ่งปรับน้ำหนักพวงมาลัยในให้หนักขึ้นยิ่งมั่นใจในความเร็วสูง ๆ การเข้าโค้งที่ความไม่เกิน 100 - 120 กม./ชม. นับว่าสบาย ๆ เลยครับ มีอาการแกว่งหรือโยนตัวน้อยมาก แต่เมื่อใช้ความเร็วสูง ๆ ขึ้นไปกว่านั้นมาก ๆ ก็จะเริ่มโครงและโยนตัวมากขึ้น ซึ่งก็ยังพอที่จะควบคุมได้ได้ระดับหนึ่ง
ในช่วงการเร่งออกตัวหรือกำลังจะเร่งแซงแบบกดคันเร่งสุดนั้น หากเป็นทางตรง ๆ นับว่าช่วงล่างเอาอยู่สบาย ๆ แต่ถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนเลนหรือว่าเลี้ยวโค้งนั้น ช่วงล่างยังมีอาการหน้าลอย ๆ นิด ๆ ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจอยู่บ้าง แต่ก็เป็นจังหวะที่ผู้ขับขี่จะต้องเข้าใจในกำลังและสมรรถนะของตัวรถว่าการเร่งแรง ๆ นั้น จะต้องไม่อยู่ในลักษณะ หักเลี้ยว เข้าโค้งแคบ ๆ หรือว่าเปลี่ยนช่องทางกระทันหัน แม้ว่าจะมีระบบควบคุมการทรงตัว ฯลฯ มาให้ แต่ด้วยความแรงอาจทำให้เกิดอันตรายได้ครับ.......แนะนำว่าขับให้คุ้นเคยกับอัตราเร่ง-พวงมาลัย-ระบบเบรก และช่วงล่างจนเข้าใจธรรมชาติของรถก่อนจึงค่อยใช้ความเร็วสูง ๆ นะครับ...เตือนแล้วนะ!!!!
เบรกเอาไม่อยู่?
ระบบเบรกที่หลายคนเคยเห็นการทดสอบในสนามบ้าง ฯลฯ บ้าง จนรู้สึกว่า "เบรกไม่ดีเอาไม่อยู่???" ขออธิบายก่อน....MG4 XPOWER AWD เกิดมาเป็น ใช้งานทั่วไปแบบ "รถบ้าน ๆ" นั่นแหละครับ เพียงแต่ว่ามีการปรับปรุงระบบขับเคลื่อนและความแรงที่เพิ่มขึ้น (เพิ่มจากเดิมหลายเท่าอยู่) ซึ่งรวมถีงการปรับปรุงช่วงล่างและระบบเบรกด้วย โดยเฉพาะการขยาย จานเบรกหน้าหลังให้ใหญ่ขึ้นหน้า (เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 340-345 มม.) คาร์ลิเปอร์ ใหญ่ขึ้น ผ้าเบรกใหญ่ขึ้นและคุณภาพดีขึ้นเพื่อให้เบรกได้ดีขึ้น....
เมื่อนำไปลงสนามแข่งโดยเฉพาะ "พีระเซอร์กิต" ที่มีโค้งแคบสลับกันไป การขับต้องใช้การเร่งความเร็วและเบรกตลอดเวลา ทำให้มีความร้อนสะสมมาก แม้จานเบรกจะขนาดใหญ่แล้วก็ตาม แต่ส่วนของ "ผ้าเบรก" ที่เป็นเกรด Standard ใช้งานทั่วไปบนถนน ไม่ออกแบบให้ทนความร้อนสูง ๆ จึงทำให้ผ้าเบรก "ไหม้-เฟด-และเบรกไม่อยู่นั่นเอง" ผมคิดว่าการลองในสนามเป็นการทดสอบในระดับที่ต้องรู้ลิมิตของรถด้วยว่า ทำความเร็วหรือการเบรกได้สุดแค่ไหนอย่างไร เพราะรถผลิตออกมาเน้นใช้งานบนถนนทั่วไป ไม่ได้ผลิตมาเพื่อลงแข่งขัน!
ซึ่งในการลงสนามนั้น MG4 XPOWER AWD ก็พิสูจน์ได้ในเรื่องของช่วงล่างว่าขับในสนามทำความเร็วในโค้งต่าง ๆ ได้ใกล้เคียงรถที่ใช้ในการแข่งขันทั่วไป ๆ ที่ขับในสนามเดียวกัน (จากประสบการณ์อดีตนักแข่งของคุณแอมป์ ปรม แห่ง Carzanova ได้บอกไว้) ดังนั้นสรุปได้ว่าถ้าจะขับ Xpower ลงสนามแข่งจำเป็นต้องอับเกรดผ้าเบรกใหม่ให้ใช้ในการแข่งขัน รวมถึงถ้าปรับปรุงช่วงล่างอีกนิดก็สามารถทำความเร็วต่อรอบได้พอ ๆ กับรถแข่งจริง ๆ ก็เป็นได้ครับ พลังเหลือ ๆ 400 กว่าม้าปรับแต่งโช้ค เบรก อีกนิดก็ขับในสนามมันแน่ ๆ
กลับมาที่การทดสอบเบรกจริงเมื่อขับบนท้องถนนด้วยการเร่งความเร็วขึ้นและเบรกแรง ๆ อย่างรวดเร็ว ทำได้ดีรถชะลอและหยุดได้ทันใจ ตัวรถไม่มีอาการส่ายหรือเป้ ควบคุมง่ายและค่อนข้างนิ่ง แต่อาจจะต้องใช้น้ำหนักเท้าเพิ่มขึ้นเมื่อต้องเบรกอย่างรุนแรง ขอสรุปว่า ใช้บนถนนทั่วไปมั่นใจสบายหายห่วงครับ
MG4 X Standard Range
ช่วงล่างรุ่นธรรมดานี้นับว่าเน้นความนุ่มนวลสะดวกสบายในการเดินทาง จึงจะให้ความนุ่มนวลกว่า การเลี้ยว เข้าโค้ง ตอบสนองดีและแม่นยำกระชับมือ ได้ฟิวลิ่งขับเคลื่อนล้อหลัง โดยเฉพาะเมื่อเร่งออกตัวแรง ๆ จะมีอาการดิ้น ๆ เบา ๆ ให้รู้สึกสนุกสนาน และในความเร็วสูง ๆ ไม่เกิน 120 - 130 กม./ชม. ก็นับว่าเข้าโค้งได้ดี เกาะถนน แต่จะมีบางจังหวะที่รถมีอาการลอย ๆ แกว่ง ๆ บ้างในการเข้าโค้งแรงหรือเปลี่ยนเลนอย่างรวดเร็ว
จุดที่น่าสนใจคือ ด้วยความที่เป็นรถที่ขับง่ายพละกำลังไม่มากจนเกินไป ไม่ต้องปรับตัวเยอะ และมีรัศมีเลี้ยวที่แคบกว่า Xpower ให้ความคล่องตัวมากกว่าในการขับขี่ถนนเล็ก ๆ หรือการกลับรถ ระบบช่วงล่างที่นุ่มนวลกว่านั่งสบาย แต่ก็ยังเกาะถนนอยู่ ทำให้น่าจะเหมาะกับการใช้งานประจำวันสำหรับคนที่เน้นความสบาย
สรุปความคุ้มค่าใครเหมาะรุ่นไหน
MG4 XPWER AWD เหมาะกับผู้ชอบความแรง อัตราเร่งจัดจ้านราว ๆ กับซูเปอร์คาร์ในราคาเอื้อมถึง และชอบการขับขี่สไตล์เรซซิ่งที่มีช่วงล่างแข็ง ๆ ตึง ๆ และอาจจะใช้งานบางครั้งไม่บ่อยนัก บางครั้งอาจมีเวลาวันเอาไปลองขับเล่นในสนามปิด เพื่อความเร้าใจ ปรับปรุงระบบช่วงล่างและเบรกอีกเล็กน้อยก็ขับสนุกขึ้นหรืออาจขับขี่ในระยะทางต่อวันไม่มากนัก ถือว่าเป็นรถที่ราคา 1,119,900 บาท แต่ได้ระดับควาแรง 400 กว่าม้ามาควบเล่นสบาย ๆ เลย
MG4 X Standard Range เหมาะกับครอบครัวใช้งานในทุก ๆ วัน รับส่งบุตรหลาน จอดรถรับลูกหรือซื้อของไม่ต้องดับเครื่อง สมรรถนะโดดเด่นระดับหัวแถวของรถยนต์ไฟฟ้าระดับเดียวกัน ช่วงล่างกำลังดีหนึบและนุ่มขับได้ทุกวันสบายรวมถึงจอกลางใหม่ใหญ่ขึ้นรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย ที่ใช้งานได้หลากหลายและสะดวกกว่าเดิม กับค่าตัว 809,900 บาทเท่านั้น