แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 12
1
โพสฟรี เว็บประกาศ / มือถือ Iphone แอปเปิล APPLE iPhone16 (128GB)
« เมื่อ: วันที่ 16 ตุลาคม 2024, 18:46:54 น. »
มือถือ Iphone แอปเปิล APPLE iPhone16 (128GB)
29,900 บาท 

แอปเปิล APPLE iPhone16 (128GB)
ควบคุมเต็มตัวด้วยตัวควบคุมกล้อง แตะๆ ซูมๆ คลิกๆ เสร็จ
ระบบกล้องใหม่ มองไกลๆ ก็สวย มองใกล้ๆ ก็สมบูรณ์แบบ
กล้องอัลตร้าไวด์ โฟกัสได้ตั้งแต่สิ่งเล็กๆ ไปจนถึงภาพใหญ่
การจับภาพเชิงมิติพื้นที่ เปิดมิติใหม่ให้รูปภาพและวิดีโอของคุณ
ชิป A18 เร็วสุดแรง ฉลาดสุดล้ำ
แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้นไปอีก เผลอๆ แบตตัวคุณเอง จะหมดก่อนด้วยซ้ำ
ดีไซน์ที่ทนทาน ใครบอกว่าความสวยจะไม่อยู่ยงคงกระพัน
ปุ่มแอ็คชั่น ทำได้มากขึ้น รอน้อยลง
iOS 18 ใส่ตัวตน ใส่สไตล์ ใส่เสน่ห์

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น             แอปเปิล APPLE iPhone16 (128GB)
   ราคากลาง          29,900 บาท
   จำนวนซิม
   แบบดีไซน์           จอสัมผัส
   สี                     ดำ, ขาว, ชมพู, เขียว(อมฟ้า), น้ำเงิน(อัลตร้ามารีน)
   ความถี่-เครือข่าย
3G
4G
5G

   ขนาด-น้ำหนัก                   ยาว 147.6 x กว้าง 71.6 x หนา 7.8 มม., น้ำหนัก 170 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)  128 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด    -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ        N/A

จอแสดงผล
   ชนิดจอ              จอสัมผัส (Super Retina XDR OLED)
   ความละเอียด      6.1 นิ้ว, 1,179 x 2,556 px
   รายละเอียดอื่น     กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                  กล้องหลัง (48 Mpx), กล้องหน้า (12 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                              -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)             A18
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)     5?core
   หน่วยความจำ (RAM)               0.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก               USB(USB‑C 2), Bluetooth(5.3), NFC, Wi-Fi(7)
   ระบบรับส่งข้อความ                    -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต            3G, WiFi, 4G, 5G

2
โพสฟรี เว็บประกาศ / หมอประจำบ้าน: ฝ้า (Melasma/Chloasma)
« เมื่อ: วันที่ 15 ตุลาคม 2024, 12:57:00 น. »
หมอประจำบ้าน: ฝ้า (Melasma/Chloasma)

ฝ้า เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่ง

พบมากในช่วงอายุ 30-40 ปีขึ้นไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่า

ฝ้าแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ (1) ฝ้าตื้น (epidermal melasma) เป็นฝ้าที่อยู่ในผิวหนังชั้นนอกหรือหนังกำพร้า มีลักษณะเป็นรอยสีน้ำตาลเข้ม มีขอบชัด (2) ฝ้าลึก (dermal melasma) เป็นฝ้าที่อยู่ในชั้นลึกหรือหนังแท้ มีลักษณะเป็นรอยสีน้ำตาลอ่อน หรือสีฟ้าอมเทา มีขอบไม่ชัด (3) ฝ้าผสม (mixed melasma) คือมีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกผสมกัน ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด


สาเหตุ

เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) ในชั้นหนังกำพร้าหรือชั้นหนังแท้ถูกกระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดสี (pigment) มากกว่าปกติ เชื่อว่าเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ที่สำคัญได้แก่

    ฮอร์โมนเพศ พบว่าฝ้ามักเกิดในหญิงขณะตั้งครรภ์ระยะไตรมาสที่ 2 และ 3 หรือกินยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทนสำหรับหญิงวัยหมดประจำเดือน และผื่นจะจางลงหลังคลอดหรือหยุดยา
    แสงอัลตราไวโอเลต พบว่าผู้ที่ถูกแสงแดดบ่อย ๆ มีโอกาสเป็นฝ้าได้ง่าย
    กรรมพันธุ์ พบว่ามากกว่าร้อยละ 30 ของผู้ป่วยมีประวัติโรคนี้ในครอบครัว
    การใช้ยา อาทิ ยากันชัก (เช่น เฟนิโทอิน, clobazam), ยาขับปัสสาวะ, ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์, ยาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy drugs) เป็นต้น
    ภาวะขาดไทรอยด์
    การแพ้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารให้กลิ่นหอมหรือสี
    ความเครียดทางจิตใจก็อาจกระตุ้นให้ฝ้ากำเริบในผู้ป่วยบางรายได้

อาการ

มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลเข้ม มีขอบชัด หรือปื้นสีน้ำตาลอ่อนหรือฟ้าอมเทา มีขอบไม่ชัด บางรายอาจขึ้นเป็นผื่นเล็ก ๆ คล้ายกระ

ส่วนใหญ่จะมีรอยโรคที่บริเวณใบหน้าส่วนที่ถูกแสงแดดหรือแสงไฟฟลูออเรสเซนต์มาก ๆ ได้แก่ หน้าผาก โหนกแก้ม คาง ดั้งจมูก บริเวณร่องเหนือริมฝีปากบน มักจะเกิดขึ้นทีละน้อยอย่างช้า ๆ โดยมีรอยโรคเหมือน ๆ กันและขนาดที่เท่า ๆ กันขึ้นที่ใบหน้าทั้งฝั่งซ้ายและขวา

บางรายอาจพบที่คอ ไหล่ ต้นแขน และปลายแขนส่วนที่ถูกแสงแดดหรือแสงไฟฟลูออเรสเซนต์ร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากทำให้รู้สึกไม่สวยงาม


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

บางรายแพทย์อาจใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood's lamp ส่องตรวจดูว่าเป็นฝ้าชนิดตื้นหรือลึก และช่วยแยกออกจากโรคติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา

หากสงสัยว่าเป็นโรคผิวหนังชนิดอื่น ๆ แพทย์จะทำการตัดเนื้อเยื่อผิวหนังไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ และหากสงสัยว่าเกิดจากภาวะขาดไทรอยด์ แพทย์จะทำการตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะตรวจหาสาเหตุและแก้ไขสาเหตุที่พบ แนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย และให้การรักษาฝ้า ดังนี้

1. ใช้ยาลอกฝ้า ได้แก่ ไฮโดรควิโนน (hydroquinone) ชนิด 2-4% ทาวันละ 2 ครั้ง จะช่วยลดการสร้างเม็ดสี ทำให้ฝ้าจางลงได้ ยานี้อาจทำให้แพ้ได้ จึงควรทดสอบโดยทาที่แขน แล้วทิ้งไว้ 2-3 วัน (ห้ามล้างออก) ดูว่ามีผื่นแดงหรือไม่ ถ้ามีก็ห้ามใช้

ยานี้อาจผสมกับกรดเรติโนอิก ชนิด 0.01-0.05% และสเตียรอยด์ ทำเป็นครีมยี่ห้อต่าง ๆ

2. ใช้ยากันแดด ได้แก่ พาบา (PABA ซึ่งย่อมาจาก para-aminobenzoic acid) ทาตอนเช้า หรือก่อนออกกลางแดด หรือถูกแสงไฟแรง ๆ ควรใช้ชนิดที่มีความสามารถในการกรองแสง (sun protective factor/SPF) มากกว่า 30 ขึ้นไป ยานี้อาจทำให้แสบตา แสบจมูก เป็นสิว หรือแพ้ได้

โดยทั่วไปมักจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าอาการจะดีขึ้น และจะต้องใช้ยากันแดดไปเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันการกลับเป็นฝ้าอีก

บางกรณีแพทย์อาจให้การรักษาด้วยการลอกหน้าด้วยสารเคมี (chemical peeling) เช่น กรดไตรคลอโรอะซีติกชนิด 30% หรือกรดไกลโคลิก (glycolic acid) 50% ซึ่งต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวหนังเป็นสีดำคล้ำจากการอักเสบ การติดเชื้อ แผลเป็น เป็นต้น

บางรายแพทย์อาจให้การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ ซึ่งค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง หลังจากทำแล้วผิวหนังบริเวณนั้นจะบางลง เมื่อถูกแสงแดดก็อาจทำให้เป็นฝ้าขึ้นมาได้อีก

ผลการรักษา โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง การรักษาและการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น (เช่น แสงแดด ยาเม็ดคุมกำเนิด ความเครียด) ช่วยให้ฝ้าทุเลาได้ดี แต่เมื่อหยุดยาก็มักกำเริบใหม่ ยกเว้นฝ้าที่เกิดในหญิงขณะตั้งครรภ์ หรือกินยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทน หลังคลอดหรือหยุดยา รอยฝ้าจะจางลงจนหายเป็นปกติ

สำหรับฝ้าตื้น (ในชั้นหนังกำพร้า) มักจะรักษาได้ผลดี แต่ฝ้าลึก (ในชั้นหนังแท้) การใช้ยาอาจได้ผลช้าหรือไม่ได้ผลเท่าที่ควร


การดูแลตนเอง

ถ้ามั่นใจหรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นฝ้า ควรดูแลตนเองดังนี้

    ใช้ยาทาลอกฝ้าตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
    หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดหรืออยู่ในที่กลางแจ้ง และการอยู่ในที่ที่มีแสงไฟฟลูออเรสเซนต์สว่างมาก
    ถ้าจำเป็นต้องออกกลางแดด ควรใช้เครื่องป้องกัน (เช่น ร่ม หมวก หน้ากาก) ที่สามารถกันแสงอัลตราไวโอเลต ใส่เสื้อสีขาวแทนเสื้อสีเข้ม เพื่อลดการดูดกลืนแสงอัลตราไวโอเลต
    ใช้ยากันแดดทาตอนเช้าหรือก่อนออกกลางแดด ควรใช้ชนิดที่มีความสามารถในการกรองแสง (sun protective factor/SPF) มากกว่า 30 ขึ้นไป
    หลีกเลี่ยงการกินยาคุมกำเนิด ถ้าจำเป็นใช้การคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น
    หากสงสัยรอยฝ้าเกิดจากเครื่องสำอาง ให้หยุดใช้เครื่องสำอาง
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด


ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ใช้ยาลอกฝ้า 2-3 สัปดาห์แล้วไม่ทุเลา หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    ใช้ยาลอกฝ้าแล้วมีอาการผื่นคัน รอยแดง รอยด่าง หรือหน้าขาววอก
    มีอาการหนังตาบวม เส้นผมบางและหักง่าย ผิวหนังหยาบแห้งและเย็น ขี้หนาว เฉื่อยชา คิดช้า หรือสงสัยมีภาวะขาดไทรอยด์
    สงสัยว่ารอยฝ้าเกิดจากการใช้ยาบางชนิด
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

การป้องกัน

    หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดหรืออยู่ในที่กลางแจ้ง และการอยู่ในที่ที่มีแสงไฟฟลูออเรสเซนต์สว่างมาก
    ถ้าจำเป็นต้องออกกลางแดด ควรใช้เครื่องป้องกัน (เช่น ร่ม หมวก หน้ากาก) ที่สามารถกันแสงอัลตราไวโอเลต ใส่เสื้อสีขาวแทนเสื้อสีเข้ม เพื่อลดการดูดกลืนแสงอัลตราไวโอเลต
    ใช้ยากันแดดทาตอนเช้าหรือก่อนออกกลางแดด ควรใช้ชนิดที่มีความสามารถในการกรองแสง (sun protective factor/SPF) มากกว่า 30 ขึ้นไป
    หลีกเลี่ยงการกินยาคุมกำเนิด ถ้าจำเป็นใช้การคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น

ข้อแนะนำ

1. ฝ้าที่เกิดจากการตั้งครรภ์ หรือกินยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทน อาจหายได้เองหลังคลอดหรือหลังหยุดใช้ยา อาจใช้เวลาเป็น 2 เท่าของระยะเวลาที่กินยา เช่น ถ้ากินยาอยู่นาน 1 ปี ก็อาจใช้เวลาถึง 2 ปีกว่าฝ้าจะหาย

2. ยารักษาฝ้าบางชนิด อาจมีสารเคมีที่ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) ทำให้หน้าขาววอก หรือเป็นรอยแดงหรือรอยด่างอย่างน่าเกลียด ดังนั้นจึงควรระมัดระวังอย่าซื้อยาลอกฝ้ามาทาเองอย่างส่งเดช โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่โฆษณาว่าทำให้หายได้ทันที

ยาลอกฝ้าที่เข้าสารปรอท อาจทำให้ฝ้าจางลง แต่อาจมีอันตรายจากการสะสมปรอทที่ผิวหนังและในร่างกายได้

3. ในการรักษาฝ้า อาจต้องใช้เวลาเป็นแรมเดือน หรืออาจไม่มีทางรักษาให้หายขาด เพียงแต่ใช้ยากันแดดและยาลอกฝ้าทาไปเรื่อย ๆ ถ้าหยุดยาอาจกำเริบได้ใหม่

ฝ้าที่อยู่ตื้น ๆ (สีน้ำตาลหรือน้ำตาลเข้ม) มักจะรักษาได้ผลดี แต่ฝ้าที่อยู่ลึก (สีน้ำตาลเทาหรือสีดำ) อาจได้ผลช้าหรือไม่ได้ผลเลย

4. การลอกหน้า ขัดผิวตามร้านเสริมสวย นอกจากจะไม่ช่วยในการรักษาฝ้าแล้ว ยังอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น การแพ้สัมผัส จึงไม่แนะนำให้ไปลอกหน้า ขัดผิว

5. อาการผื่นหรือปื้นแดง ๆ คล้ำ ๆ ขึ้นที่ใบหน้า นอกจากฝ้าแล้วยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น เอสแอลแอล ซึ่งจะมีผื่นแดงขึ้นที่แก้ม 2 ข้าง (คล้ายปีกผีเสื้อ) เวลาถูกแดดร่วมกับอาการอื่น ๆ โรคแอดดิสัน ซึ่งผิวหนังจะมีสีดำคล้ำในบริเวณที่มีรอยถูไถตามส่วนต่าง ๆ รวมทั้งที่ใบหน้า เป็นต้น ดังนั้นถ้าให้การรักษาฝ้าไม่ได้ผล หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้ อ่อนเพลีย เป็นลม ปวดข้อ ผมร่วง เป็นต้น ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

3
วัดสวย ลำปาง ไหว้พระทำบุญ สัมผัสเสน่ห์ศิลปะล้านนา

ใครที่เคยไป เที่ยวลำปาง แล้ว ก็คงได้สัมผัสถึงความงดงามของวัฒนธรรมที่สืบต่อมาอย่างยาวนาน ซึ่งวันนี้เราขอชวนทุกคนไปไหว้พระทำบุญกันที่ 10 วัดสวย ลำปาง ชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของอารยธรรมล้านนา และศิลปะแบบพม่าตามวัดต่างๆ  หากได้ลองไปสักครั้ง จะต้องชื่นชมในเสน่ห์ของจังหวัดแห่งนี้ไม่มากก็น้อย

ไหว้พระ วัดสวย ลำปาง

1. วัดพระธาตุลำปางหลวง

       วัดพระธาตุลำปางหลวง วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองลำปางที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีฉลู ที่ผู้คนมักจะเดินทางมากราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลค่ะ องค์พระธาตุมีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำแบบพุกามล้านนา และมีการปิดทองจังโกคล้ายแบบพุกาม ทำให้มีความงดงามและเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ส่วนภายในวัดเป็นที่ประดิษฐาน พระแก้วดอนเต้า หรือ พระแก้วมรกต พระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะแบบล้านนาสลักด้วยหยกสีเขียวที่อยู่คู่เมืองลำปางมาอย่างยาวนาน

    ที่อยู่ : 271 ตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
    เปิดให้เข้าชม : 07.30-17.00 น.

2. วัดไหล่หินหลวง

       วัดไหล่หินหลวง หรือ วัดเสลารัตนปัพพะตาราม หนึ่งในวัดเก่าแก่ที่สันนิษฐานจากการค้นพบคัมภีร์ใบลานที่เก่าแก่ที่สุดในวัด ว่าวัดแห่งนี้อาจสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2014 และมีการบูรณะปฏิสงขรณ์ครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2226 ส่วนรูปแบบสถาปัตยกรรมของวัดไหล่หินหลวงนั้น เป็นการจำลองจาก ภูมิจักรวาล โดยมี วิหารโถง ศิลปะแบบล้านนา สร้างขึ้นโดยช่างเชียงตุง เปรียบเสมือน ชมพูทวีป ด้านหลังวิหารจะเป็นที่ประดิษฐาน องค์เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เปรียบเสมือน เขาพระสุเมรุ ส่วน ลานทราย เปรียบเสมือน มหานทีสีทันดร นั่นเองค่ะ นอกจากนี้ภายในวัดยังเป็นสถานที่เก็บรักษาคัมภีร์โบราณ และโบราณวัตถุต่างๆ อีกด้วย

    ที่อยู่ : หมู่ 2 ถนนเกาะคา-นาโป่ง ตำบลท่าผา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
    เปิดให้เข้าชม : 06.00-18.00 น.

3. วัดพระธาตุจอมปิง

       ตามตำนานกล่าวไว้ว่า วัดพระธาตุจอมปิง นั้นสร้างขึ้นตั้งแต่สมัย พระเจ้าติโลกราช แห่งราชอาณาจักรล้านนา โดยมีไฮไลท์เป็น ภาพเงาสะท้อนกลับหัวของพระธาตุที่ปรากฏขึ้นผ่านรูเล็กภายในอุโบสถ ซึ่งสามารถเห็นได้ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนค่ะ นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ ที่ขุดพบบริเวณวัด เช่น เศษภาชนะเครื่องปั้นดินเผา เครื่องประดับทำจากสำริด ใบหอก เป็นต้น

    ที่อยู่ : ตำบลนาแก้ว อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.

4. วัดเจดีย์ซาวหลัง

      ชมความงดงามของเจดีย์ที่ผสานศิลปะแบบล้านนาและพม่าเข้าด้วยกันที่ วัดเจดีย์ซาวหลัง หรือ วัดพระเจดีย์ซาวหลัง วัดสวยที่มีเจดีย์ตั้งอยู่ภายในวัดถึง 20 องค์ โดยมีองค์เจดีย์องค์ใหญ่สุดอยู่ตรงกลาง จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ "วัดเจดีย์ซาวหลัง" ซึ่ง "ซาว" ในภาษาเหนือแปลว่า "ยี่สิบ" นั่นเองค่ะ ส่วนบริเวณด้านหน้าขององค์เจดีย์แต่ละหลังนั้นจะมีซุ้ม ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ด้านในองค์เจดีย์มีพระเกศาธาตุบรรจุอยู่

อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ แอ่วเหนือ ไหว้พระ วัดเจดีย์ซาวหลัง วัดสวย ลำปาง เสริมสิริมงคล

    ที่อยู่ : บ้านวังหม้อ ตำบลต้นธงชัย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.

5. วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

      วัดพระแก้วดอนเต้า หรือ วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ มีอายุยาวนานกว่า 1,000 ปี ที่นี่เคยเป็นที่ประดิษฐาน พระแก้วดอนเต้า หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1971 ก่อนจะมีการอัญเชิญไปประดิษฐานที่ วัดพระธาตุลำปางหลวง จนถึงปัจจุบันค่ะ

       นอกจากนี้ ภายในวัดยังมี พระบรมธาตุดอนเต้า เจดีย์สถาปัตยกรรมล้านนาองค์ใหญ่สีทองฐานสีขาวที่บรรจุพระเกศาธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมถึงยังมี พระเจ้าทองทิพย์ พระพุทธรูปศิลปะสมัยเชียงแสนที่ประดิษฐานอยู่ใน วิหารพระเจ้าทองทิพย์ อายุกว่า 1,000 ปี ที่สร้างโดยพระนางจามเทวี และสถานที่อื่นๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ

    ที่อยู่ : ถนนพระแก้ว ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง
    เปิดให้เข้าชม : 08:00-19:00 น.

6. วัดศรีรองเมือง

       วัดศรีรองเมือง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2446 โดยช่างฝีมือจากเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา โดยใช้เวลาในการสร้างประมาณ 7 ปี โดดเด่นด้วยพระวิหารไม้สักทอง ที่มีหลังคาจั่วซ้อนกันเป็นชั้นๆ และมีลายฉลุบนสังกะสี ซึ่งถอดรูปแบบสถาปัตยกรรมมาจากเมืองมัณฑเลย์ค่ะ ภายในวิหารมีเสาที่ตกแต่งด้วยกระจกสีลวดลายเครือดอกไม้ และพันธุ์พฤกษาอย่างวิจิตรงดงาม

    ที่อยู่ : เลขที่ 80 ท่าคร้าวน้อย ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง
    เปิดให้เข้าชม : 07.00-18.00 น.

7. วัดศรีชุม

        วัดศรีชุม วัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งที่มีพระวิหารที่สวยงาม โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบพม่าผสมผสานกับศิลปะล้านนา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2436 โดยคหบดีชาวพม่าชื่อ อูโย ที่ติดตามชาวอังกฤษเข้ามาทำงานป่าไม้ในไทย พระวิหารของวัดศรีชุมนั้นมีลักษณะเป็นครึ่งตึกครึ่งเรือนไม้ หลังคาเป็นเครื่องไม้ยอดแหลมแกะสลักด้วยลวดลายสวยงาม ด้านในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลปะแบบพม่า มีภาพจิตกรรมฝาหนังที่บอกเล่าเรื่องราวในพุทธประวัติ และภาพจำลองแผนผังของวัด ส่วนด้านนอกก็มีองค์เจดีย์สีทองบนฐานสีขาวซึ่งมีความงดงามเป็นอย่างมาก

    ที่อยู่ : 198 ทิพย์วรรณ ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง
    เปิดให้เข้าชม : 07.00-18.00 น.

8. วัดพระธาตุเสด็จ

        วัดพระธาตุเสด็จ วัดเก่าแก่ที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระนางจามเทวี แต่ได้รับการบูรณะใหม่ในภายหลัง โดยยังคงสภาพศิลปะโบราณเอาไว้ค่ะ ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐาน พระธาตุเสด็จ มีลักษณะองค์เจดีย์ศิลปะล้านนา ด้านในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ นอกจากนี้ยังมี วิหารกลาง ที่ประดิษฐาน หลวงพ่อห้ามญาติ พระพุทธรูปสำริดปางลีลาองค์ใหญ่ที่มีพุทธลักษณะงดงาม และ วิหารจามเทวี ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัยศิลปะเชียงแสน และ วิหารพระพุทธ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน พระเจ้าดำองค์อ้วน พระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนให้วัดพระธาตุเสด็จเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ ที่แฝงไปด้วยร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมค่ะ

    ที่อยู่ : ตำบลบ้านเสด็จ อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง
    เปิดให้เข้าชม : 06.00-18.00 น.

9. วัดพระธาตุดอยพระฌาน

       เที่ยวในเมืองมาเยอะแล้ว เราขอพาไปขึ้นเขา ชมวิวสวยๆ ที่ วัดพระธาตุดอยพระฌานกันบ้างค่ะ ที่นี่ไม่เพียงมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเท่านั้น แต่ยังมีสถาปัตยกรรมที่วิจิตรอ่อนช้อย สอดคล้องไปกับธรรมชาติได้เป็นอย่างดี เป็นที่ประดิษฐานองค์พระธาตุเก่าแก่สีขาว ยอดฉัตรสีทองอายุกว่า 100 ปี รวมถึงยังมี พระใหญ่ไดบุตซึ องค์ขนาดใหญ่ หน้าตัก 14 เมตร เนื้อทองแดงนี้ ประดิษฐานบนยอดดอยของวัด ทำให้เห็นถึงการผสมผสานศิลปะแบบไทยและญี่ปุ่นเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

    ที่อยู่ : 207 ม.5 ตำบลป่าตัน อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง
    เปิดให้เข้าชม : 06.00-17.00 น.

10. วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์

    วัดเฉลิมพระเกียรติฯ หรือ วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ ตั้งอยู่บน ดอยปู่ยักษ์ ในพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดอยพระบาท สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2547 ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระราชสมภพครบ 200 ปี โดดเด่นด้วยองค์เจดีย์สีขาวที่ตั้งอยู่บนยอดเขาต่างๆ สวยงามอลังการมาก โดยเฉพาะยามที่มีไอหมอกปกคลุม สวยราวกับไม่มีอยู่จริงเลยค่ะ นอกจากนี้เป็นที่ประดิษฐาน รอยพระพุทธบาท ให้ผู้คนได้มากราบไหว้ด้วย

    ที่อยู่ : หมู่บ้านทุ่งทอง หมู่ 7 ถนนแจ้ห่มเมืองเหนือ ตำบลวิเชตนคร อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง
    เปิดให้เข้าชม : 07.30-16.00 น.


4
บริการด้านอาหาร: กินอย่างไรให้ห่างไกลโรคอัลไซเมอร์
 
โรคอัลไซเมอร์ เป็นหนึ่งในโรคที่เกิดจากความเสื่อมถอยของการทำงานหรือโครงสร้างของเนื้อเยื่อของสมองซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ ซึ่งในประเทศไทยของเราก็มีผู้สูงอายุจำนวนมากที่ป่วยเป็นโรคนี้ ซึ่งต้องทำความเข้าใจก่อนว่าโรคอัลไซเมอร์ ไม่ใช่ความเสื่อมตามธรรมชาติเพราะผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องเป็นอัลไซเมอร์ทุกคน แต่เป็นความเสื่อมที่เกิดจากโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เบต้า-อะไมลอยด์ ชนิดไม่ละลายน้ำ

ซึ่งเมื่อไปจับกับเซลล์สมองจะส่งผลให้เซลล์สมองเสื่อมและฝ่อลง รวมถึงทำให้การสื่อสารระหว่างเซลล์สมองเสียหายจากการลดลงของสารอะซีติลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ส่งผลโดยตรงกับความทรงจำ ดังนั้น การสะสมของเบต้า-อะไมลอยด์ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองค่อยๆ ลดลง เริ่มจากสมองส่วนฮิปโปแคมปัส ที่มีบทบาทสำคัญในการจดจำข้อมูลใหม่ๆ เมื่อเซลล์สมองส่วนนี้ถูกทำลาย ก็จะเริ่มมีปัญหาเรื่องความจำโดยเฉพาะความจำระยะสั้น

จากนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นจะแพร่กระจายไปสู่สมองส่วนอื่นๆ และส่งผลต่อการเรียนรู้ ความรู้สึกนึกคิด ภาษา และพฤติกรรมในที่สุด ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำเคล็ดลับการรับประทานอาหารให้ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่เริ่มมีอาการหลงๆลืมๆ ช่วยบำรุงระบบสมองอีกด้วย
 
หลายคนคงเคยได้ยินว่า แปะก๊วย มีสรรพคุณช่วยบำรุงความจำ เสริมสร้างการทำงานของสมอง ป้องกันและชะลออาการของโรคอัลไซเมอร์รวมถึงภาวะสมองเสื่อมทั้งหลาย โดยเชื่อกันว่าแปะก๊วยมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและมีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะป้องกันไม่ให้เซลล์สมองถูกทำลาย ช่วยในการทำงานของสารสื่อประสาท

รวมทั้งป้องกันการสะสมของอะไมลอยด์ สารโปรตีนชนิดหนึ่งที่เชื่อว่าอาจไปสร้างความเสียหายต่อเซลล์สมองและเป็นสาเหตุให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ แต่ผลการศึกษาพบว่าแปะก๊วยไม่สามารถช่วยลดการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือภาวะสมองเสื่อมแต่อย่างใด  แต่เราสามารถปฏิบัติตัวให้แข็งแรงห่างไกลโรคอัลไวเมอร์ได้โดย ควบคุมน้ำหนักตัว ควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูงการสูบบุหรี่และโรคอ้วน รับประทานอาหารให้หลากหลายครบ 5 หมู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมหมั่นดูแลน้ำหนักตัวไม่ให้เกินเกณฑ์

รับประทานอาหารครบ3มื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้าจะทำให้สมองทำงานได้ดี มื้อเช้าควรประกอบด้วย อย่างน้อย ข้าว-แป้งหรือธัญพืชและเนื้อสัตว์เสริมด้วยผักผลไม้ เลือกรับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว รับประทานผักโดยเฉพาะผักที่มีสีเขียวเข้มและหลากสีหรือผลไม้อย่างเหมาะสม ควบคุมการรับประทานผลไม้รสหวานผักและผลไม้อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระใยอาหารวิตามินซีและโฟเลต นอกจากนี้ ให้รับประทานปลาน้ำจืดสลับกับทะเล ไข่

 
เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์เป็นประจำ ดื่มนมและผลิตภัณฑ์เป็นประจำ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง หวานจัด เค็มจัด เลือกใช้น้ำมันพืชที่ดีอย่างเหมาะสมกับการประกอบอาหาร ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ และอาหารที่มีความปลอดภัยไม่ปนเปื้อนสารโลหะหนักหรือสารเคมี อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญอย่างมากคือควรงดหรือลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่  ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอด้วย
 
 
ดังนั้น เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บด้วย ยิ่งในตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังน่าเป็นห่วง ทางที่ดีที่สุดเราควรดูแลสุขภาพ ล้างมือบ่อยๆ และสวมหน้ากากอนามัย เลือกรับประทานอาหารที่จะทำให้เราร่างกายแข็งแรง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยทำให้เรา ห่างไกลจากโรคได้และยังช่วยทำให้มีสุขภาพที่ดีด้วย

5
จัดฟันบางนา: ควรรู้ “ผลข้างเคียง” หลังจากทำรากฟันเทียม !

การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ทันตแพทยจะทำการผ่าตัดเพื่อนำรากฟันเทียมไปฝังลงบนกระดูกขากรรไกร เพื่อให้ยึดติดกันและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม จะเป็นที่นิยมและได้รับการไว้วางใจว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

แต่ก็ยังมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น หลังจากการฝังรากฟันเทียมลงไปบนกระดูกขากรรไกร ผลข้างเคียงที่เรามักจะพบได้บ่อยก็คือ อาการเจ็บปวด หรือการอักเสบ ติดเชื้อ ก็ถือเป็นผลข้างเคียงที่ได้จากการฝังรากฟันเทียม ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยก็คือ การใช้ชีวิตประจำวันก็จะเปลี่ยนไปด้วย เริ่มจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องระมัดระวังในเรื่องของอาหารการกินมากขึ้น

หากไม่ระมัดระวัง อาจจะทำให้เกิดการอักเสบ และติดเชื้อได้ รวมไปถึงอาจจะทำให้รากฟันเทียมหลุดอออกมาได้ หากไม่ระมัดระวังเรื่องของการรับประทานอาหาร ผู้เข้ารับการรักษาควรหลีกเลี่ยงบประทานอาหารที่แข็งและเหนียว เพื่อให้ใช้แรงบดเคี้ยวที่ไม่ต้องออกแรงมาก รวมไปถึงอาหารเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ก็อานจะมีต้นเหตุจากการรับประทานอาหาร

ทั้งนี้ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องปฏิบัติตัวหลังจากฝังรากฟันเทียม ตามที่ทันตแพทย์ได้แนะนำ เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง และเป็นการเพิ่มอัตราความสำเร็จในการรักษาด้วย หากคุณบะเลยอาจจะก่อให้เกิดปัญหาที่ยากจะแก้ไข นั่นก็คือรากฟันเทียมหลุด หากเกิดปัญหานี้ขึ้น ทันตแพทย์จะทำการฝังรากฟันเทียมให้ใหม่ ซึ่งจะเป็นการสิ้นปลืองในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการรักษา

ทั้งนี้หลังจากที่ผู้เข้ารับการรักษา ได้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน และเกิดมีผลข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็น อาการปวดที่นานกว่าปกติ การอักเสบของแผลและรากฟัน ควรรีบปรึกษทันตแพทย์ผู้ทำการรักษา เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้ทันและไม่เกิดความซับซ้อน ยุ่งยาก อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับการรักษาควรเข้าพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หรือ 6 เดือนต่อครั้ง เพื่อให้ทันตแพทย์ได้ทำการตรวจช่องปากเป็นประจำอข่าวต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธิ์ที่ดีและการใช้งานของรากฟันที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง

6
Mitsubishi Triton 2024: มิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ท เตรียม“ออล-นิว ไทรทัน” ป้องกันแชมป์ เอเชีย

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น(มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) ประกาศความพร้อมของทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ท
ภายใต้การสนับสนุนด้านเทคนิคจาก มิตซูบิชิ มอเตอร์สเตรียมเดินหน้าสู้ศึกการแข่งขันรายการเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่(เอเอ็กซ์ซีอาร์) 2023

หลังจากที่ประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมาและในปีนี้เตรียมพร้อม กับรถแข่งรุ่นใหม่ ออล-นิว ไทรทัน แรลลี่คาร์ทั้งหมด 3 คัน ในรุ่น T1 (รถแข่งแบบครอสคันทรี รุ่นโปรโตไทพ์)พร้อมเริ่มระเบิดความมัน บนเส้นทางจากประเทศไทยไปยังประเทศลาวตั้งแต่วันที่ 13 – 19 สิงหาคมนี้พิธีปล่อยตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นวันเริ่มต้นการแข่งขัน เอเชียครอสคันทรี แรลลี่ ในปีนี้ จะจัดขึ้นในวันที่ 13 สิงหาคม ที่พัทยาจังหวัดชลบุรี ก่อนเริ่มทำการแข่งขันเต็มรูปแบบในวันที่ 14 สิงหาคมโดยมุ่งหน้าไปทางตะวันออกของประเทศไทยขนานไปสู่เส้นทางทางตะวันออกเฉียงใต้บริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชา

และสิ้นสุดที่เส้นชัยในวันที่ 19 สิงหาคม ใกล้ๆ กับปราสาทหินวัดพู ประเทศลาว ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกฮิโรชิ มาซูโอกะ ผู้อำนวยการทีมมิตซูบิชิแรลลี่อาร์ท เผยว่า“เพื่อนำทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ทไปสู่ชัยชนะผมในฐานะของผู้อำนวยการทีมได้นำเอาความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ทั้งหมดที่สั่งสมมาใช้เพื่อพัฒนาทีมและรถแข่งของเรา

โดยรถแข่งของเราได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานจากรถออล-นิว ไทรทัน กลายมาเป็นรถแข่ง ออล-นิวไทรทัน แรลลี่คาร์ ที่ได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นสำหรับใช้ในการแข่งขันโดยนำผลลัพธ์ที่ได้จากการการแข่งขันในปีที่แล้วมาปรับปรุงให้รถแข่งเร็วแรง และแข็งแกร่งทนทานมากยิ่งขึ้นซึ่งได้รับการยืนยันว่าเราได้ผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายจากการทดสอบที่ผ่านมาและนอกจากการสร้างสรรค์ระบบสนับสนุนเพื่อให้บริการด้านเทคนิคกับทีมแข่งแล้วเรายังพร้อมช่วยสนับสนุนในด้านการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทีมนักแข่ง และผู้นำทางหรือผู้ช่วยนักแข่งอย่างเต็มที่อีกด้วยจึงมั่นใจได้ว่าทีมมิตซูบิชิแรลลี่อาร์ทของเรามีความพร้อมอย่างยิ่งในการลงสู้ศึกการแข่งขันที่ท้าทายในครั้งนี้ และเราจะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อคว้าแชมป์สมัยที่ 2มาครอง”ร่วมลุ้นผลงานการแข่งขันแบบรายงานสดทุกวัน ได้ที่เว็บไซต์เฉพาะกิจเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่

การแข่งขันแรลลี่ จะเริ่มต้นวันแรกในวันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคมนี้และจะดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงวันเสาร์ที่ 19 สิงหาคมเป็นวันสุดท้าย โดยมิตซูบิชิ มอเตอร์ส จะรายงานผลการแข่งขันทุกวันในหน้าเพจเฉพาะกิจเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่

7
อาหารสุขภาพเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยลดผิวแห้ง ผิวเปล่งปลั่งดูสุขภาพดี

ผิวหนังที่แห้ง ลอกเป็นขุย และแตกเป็นขุยเมื่อสัมผัสก็อาจจะมีอาการคันและอาจมีอาการเจ็บปวด ผิวหนังที่แห้งมากส่งผลให้เกิดปัญหาหมองคล้ำได้ และนอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ผิวหนังได้อีกด้วย  ปัญหาผิวแห้งยังส่งผลให้เรารู้สึกไม่สบายผิว เช่น รู้สึกตึง เจ็บและคัน หากการทามอยซ์เจอไรเซอร์เพื่อช่วยลดความแห้งยังไม่เพียงพอ ก็อาจถึงเวลาลองรับประทานอาหารสำหรับผิวแห้งดูค่ะ

     
ในขณะที่การดื่มน้ำมาก ๆ เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายของเราชุ่มชื้น แต่นอกจากนี้เราก็ยังสามารถลดความแห้งกร้านของผิวได้ด้วยการรับประทานอาหารที่เหมาะสม โดยเฉพาะอาหารที่เต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงผิว และต่อไปนี้คืออาหาร 6 ชนิดที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นกับร่างกายเพื่อช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งและสุขภาพดี


6 อาหารเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยลดผิวแห้ง

1. ทับทิม

     ทับทิมมีคุณสมบัติในการช่วยต้านการอักเสบและช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสรรพคุณนี้ทำให้ทับทิมมีส่วนในการช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวและลดการระคายเคือง ลดการอักเสบ และอาการคัน ทับทิมยังอุดมไปด้วยน้ำ วิตามินเอ วิตามินซีและแร่ธาตุอีกหลายชนิด ซึ่งช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่เซลล์ผิวและรักษารอยแตกที่เกิดจากความแห้งกร้าน


2. ถั่ว

     ถั่ว เช่น อัลมอนด์ วอลนัท แมคคาเดเมีย ถั่วไพน์นัท พิสตาชิโอ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และเฮเซลนัท ล้วนเต็มไปด้วยกรดไขมันจำเป็น เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 โปรตีน วิตามินอี วิตามินบี แมกนีเซียม ซีลีเนียม ทองแดง เหล็ก สังกะสี แคลเซียม โพแทสเซียม และเส้นใยอาหาร ซึ่งสารอาหารเหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มความเต่งตึงและความสมบูรณ์ของเซลล์ ปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด และให้ความชุ่มชื้นแก่เซลล์ จึงทำให้ผิวของเรานุ่ม ยืดหยุ่น และเปล่งประกาย


3. อะโวคาโด

     อะโวคาโด 1 ถ้วยประกอบด้วยวิตามินซี 23 มก. วิตามินอี 4.8 มก. วิตามินเอ 16.1 ไมโครกรัม วิตามินเค 48.3 ไมโครกรัม กรดไขมันโอเมก้า 3 253 มก. และโฟเลต 183 ไมโครกรัม ซึ่งสารอาหารเหล่านี้สามารถช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อของผิวหนัง คืนความชุ่มชื้นให้กับเซลล์ผิว ทำให้ผิวอ่อนนุ่มและช่วยลดเลือนริ้วรอย


4. กล้วย

     กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี และวิตามินดี นอกจากนี้ยังมีไนอาซิน ไรโบฟลาวิน ไทอามิน ทองแดง สังกะสี เหล็ก แมกนีเซียม แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โฟเลต และใยอาหาร ซึ่งสารอาหารทั้งหมดในกล้วยสามารถช่วยล้างสารพิษ และช่วยในการฟื้นฟูสภาพผิวได้ การบริโภคกล้วยเป็นประจำสามารถทำให้ผิวของเราเปล่งปลั่งและเรียบเนียนได้


5. ปลา

     ปลา เช่น ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาเฮอริ่ง มีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพของเรา ปลาเหล่านี้อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6  การบริโภคปลาจะช่วยลดการอักเสบ ล้างสารพิษ และกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิว ซึ่งทำให้ผิวของเรานุ่มและเปล่งปลั่ง นอกจากนี้ ปลายังเป็นแหล่งสารอาหารที่ดีที่ช่วยให้เซลล์ของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


6. แตงกวา

     แตงกวาเป็นอาหารที่ช่วยลดปัญหาผิวแห้งได้ดี แตงกวา 1 ลูกประกอบด้วยน้ำ 287 กรัม วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค โฟเลต แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม สังกะสี ซีลีเนียม ฟอสฟอรัส กรดไขมันโอเมก้า 3 และใยอาหาร แตงกวามีปริมาณน้ำสูงทำให้เป็นหนึ่งในอาหารที่ดีในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว นอกจากนี้บริเวณเปลือกของแตงกวายังเป็นแหล่งของซิลิกา ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและกระดูกอ่อน และยังทำให้ผิวแข็งแรงได้ด้วย

8
งานมอเตอร์โชว์ อีซูซุ จัด “Isuzu V-Cross 4x4 Unlock the Master Spirit” ท้าทายออฟโรดรูปแบบใหม่

กิจกรรม Isuzu V-Cross 4x4 Unlock the Master Spirit  ให้ลูกค้าเข้ามาร่วมเปิดประสบการณ์สุดมันรูปแบบใหม่ พร้อมสัมผัสสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของ “อีซูซุ วี-ครอส 4x4 เหนือลิมิต...พิชิตโลก” เพิ่มประสบการณ์ความเหนือชั้นทุกครั้งที่ออกไปใช้ชีวิต พร้อมพิชิตอุปสรรคด้วยเครื่องยนต์อีซูซุ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ 190 แรงม้า โดยภายในงานได้จัดสถานีไว้ท้าพิสูจน์สมรรถนะหลากหลายรูปแบบ พร้อมกิจกรรมเวิร์คช็อปจากพาร์ทเนอร์ให้กับลูกค้า ณ สนามทดสอบรถ 8 Speed เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา

กิจกรรม Isuzu V-Cross 4x4 Unlock the Master Spirit ที่เขาใหญ่ นับเป็นครั้งที่ 2 ต่อจาก Sam Canyon ปราณบุรี ซึ่งได้ผลตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยม นอกจากเปิดโอกาสให้ลูกค้าแล้ว สื่อมวลชนบางส่วนยังได้เข้าร่วมรวมถึงทีมงานคาร์กูรูไทยแลนด์ของเช็คราคาด้วย เราได้ทดสอบสมรรถนะรถ อีซูซุ วี-ครอส 4x4 ใหม่ ! ไปตามสถานีต่างๆ ดังนี้


• สถานีทดสอบออฟโร้ดสุดท้าทาย - ไล่เลียงเริ่มกันที่ เนินสลับพสุธาสั่นสะท้าน ไต่เนินชันสุดระทึก สถานีทดสอบ Rough Terrian ลุยโคลนดำดินดิ่งพิภพ และทางวิบากฝ่าท่อนซุง เพื่อทดสอบสมรรถนะของเครื่องยนต์ อีซูซุ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ แรงจัดตั้งแต่รอบต่ำ ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ทนทาน เสริมประสิทธิภาพการขับขี่ทั้ง 2 ล้อ และ 4 ล้อ ด้วยระบบ Rough Terrain Mode ควบคุมการกระจายกำลังทุกช่วงความเร็ว ระบบ Electric Diff-Lock ควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า ช่วยล็อกเฟืองท้าย ให้เครื่องยนต์ส่งกำลังไปยังล้อหลังด้านซ้ายและขวาเท่ากัน เพื่อให้ผ่านอุปสรรคยาก ๆ ไปได้อย่างง่ายดาย พร้อมลุยได้อย่างมั่นใจด้วยระบบแสดงองศามุมปีนไต่และทิศทางการเลี้ยวผ่านหน้าจอ Integrated MID และ Infotainment Display ระบบความปลอดภัย ADAS ในการช่วยเหลือผู้ขับขี่ ด้วย 3D Imaging Stereo Camera ที่มีมุมมองกว้างและแม่นยำกว่าเดิม พร้อมเรดาร์ 2 จุด และเซ็นเซอร์ 8 จุดรอบคัน ในระหว่างขับลุยสถานีนี้ทุกคันก็มีผู้ฝึกสอนนั่งไปด้วยเพื่อแนะนำการใช้เกียร์และไลน์ที่เหมาะสมถูกต้อง นับเป็นการเรียนรู้และเพิ่มเติมที่ดีนอกเหนือไปจากสมรรถนะของอีซูซุ  วี-ครอส 4x4 สแตนดาร์ด ยางเดิมที่เราสามารถขับผ่านทุกด่านไปได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็ได้เทคโนโลยีทันสมัยอย่าง ระบบ Rough Terrain Mode  และ Electric Diff-Lock  ช่วยล็อกเฟืองท้าย ให้ถ่ายกำลังไปล้อหลังด้านซ้าย-ขวาเท่ากัน


• สถานี Race Track ท้าทายความสามารถในการขับรถในรูปแบบใหม่กับ อีซูซุ วี-ครอส 4x4 โดยมีถังน้ำ 100 ลิตร ติดตั้งไว้ที่กระบะท้ายพร้อมน้ำเติมเต็ม แล้วให้ขับ 1 รอบแทร็คของ 8 สปีด ภายในเวลา 55 วินาที โดยให้น้ำหกน้อยที่สุด แล้วคิดคะแนนไปรวมกับเกมปาเป้า

นอกจากนี้ในส่วนของลูกค้าก็มีกิจกรรมเวิร์คช็อป ลุ้นรับของรางวัลจากพาร์ทเนอร์ต่างๆ  เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ของสายแคมป์ปิ้งจาก TJM และ WANDARA, กิจกรรมการถ่ายภาพและแนะนำอุปกรณ์แต่งรถแบบออฟโรดจาก IRONMAN 4x4 และพิเศษสุดกับการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่จากยางบริดจสโตน รุ่น Dueler All-Terrain A/T002 ที่มีการออกแบบลายดอกยางให้เกาะถนนแห้งและเปียกได้อย่างยอดเยี่ยม และมีการพัฒนาให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น

ปิดท้ายด้วยปาร์ตี้สุด Exclusive ในบรรยากาศแคมป์ปิ้งสุดชิลร่วมกันทั้งลูกค้า ดีลเลอร์ และสื่อมวลชน สำหรับใครที่สนใจกิจกรรมท้าทายและได้ประสบการณ์มันๆ แบบนี้ติดตามสนามต่อไปได้อีกครั้งในปีหน้า

9
ขายรถไมล์น้อย Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition 4WD รถผู้บริหาร ราคาพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ ตั้งแต่ 15 ก.ย. - 30 ธ.ค. 2567
จองวันนี้ ฟรีชุดแต่งรอบคันมูลค่า 15,900 บาท

ราคา 1,299,000.-

สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ดีไซน์ภายนอกของ Pajero Sport Elite Edition ใหม่ มาพร้อมกระจังหน้าสีดำ, ฝากระโปรงตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ Pajero Sport, สัญลักษณ์ Elite Edition บนประตูท้าย และปลายท่อไอเสียสเตนเลส ขณะที่อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ประกอบด้วย ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ Bi-LED แบบรมดำ, ชุดแต่งใต้กันชนหน้า-หลัง, ราวหลังคาสีดำ, สปอยเลอร์ท้ายสีดำ, เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ และล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว

ภายในห้องโดยสารติดตั้งเบาะนั่งหุ้มหนัง Quole Modure สีน้ำตาล ที่พัฒนามาเป็นพิเศษเพื่อลดความร้อนจากแสงแดด, แผงข้างประตูและคอนโซลกลางตกแต่งด้วยวัสดุบุนุ่มสีน้ำตาล, บันไดข้างสเตนเลสพร้อมไฟ LED, พรมห้องโดยสารดีไซน์พิเศษ, กล้องบันทึกหน้ารถ DVR จากโรงงาน และสัญลักษณ์ Pajero Sport บริเวณแผงคอนโซล

อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ประกอบด้วย หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว พร้อมฟังก์ชัน Smartphone-link Display Audio, เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รอบรับ Apple CarPlay/Android Auto, หน้าจอความบันเทิงหลังขนาด 12.1 นิ้ว พร้อมรีโมทและหูฟังอินฟาเรด รองรับ HDMI และ USB, ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี, กล้องมองภาพรอบคัน, ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ และระบบเตือนการชนด้านหน้Œาตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว เป็นต้น

ด้านขุมพลังของ Pajero Sport Elite Edition ถูกติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.4 ลิตร VG Turbo กำลังสูงสุด 181 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ SS4 II



10
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



11
ซ่อมบำรุงอาคาร: วิธีซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่ว!

ปัญหาน้ำรั่วบริเวณฝ้าเพดาน นับว่าเป็นปัญหายอดฮิตของคนมีบ้าน และหนักใจเพราะไม่รู้จะหาวิธีการใดในการแก้ไข เพราะเนื่องจากเป็นปัญหาที่ดูแล้วอาจจะแก้ไขได้ยาก อาจจะต้องใช้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่วกันอยู่เป็นประจำ ซึ่งหากไม่แก้ไข ฝ้าเพดานรั่ว ก็อาจส่งผลให้เกิดคราบสกปรก ตลอดจนปัญหาต่าง ๆ ที่ยากต่อการจัดการได้ เช่น คราบดำ เชื้อรา หรือเพดานบวม ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้บ้านของเราดูเก่า ไม่น่ามอง อาจจะทำให้เสียบรรยากาศการพักผ่อนไปได้เลยทีเดียว สำหรับปัญหาการรั่วซึมของน้ำบริเวณฝ้าเพดาน มักมีสาเหตุที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไป


ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ปัญหาที่เกิดจากการที่ห้องหรือบริเวณที่มีปัญหา ฝ้าเพดานรั่ว ที่เกี่ยวข้องกับห้องที่ติดตั้งระบบประปา ตลอดจนความชื้นโดยตรง นอกจากนี้ หากไม่ได้รับการก่อสร้างที่มีมาตรฐาน ช่างเก็บงานไม่ละเอียด ก็ย่อมส่งผลให้เกิดปัญหาดังกล่าวนี้ได้ สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหานั้น เราก็ต้องมาดูที่ต้นตอว่า สาเหตุของการรั่วซึมนั้นเกิดจากอะไร เพื่อที่จะได้แก้ไขได้อย่างตรงจุด ส่วนสาเหตุของการรั่วซึมที่มักจะพบได้บ่อยคือ การติดตั้งท่อน้ำทิ้งที่ไม่ดี จนส่งผลให้น้ำไหลทิ้งบริเวณด้านนอก เพราะฉะนั้น หากพบว่าที่บ้านมีปัญหาน้ำรั่วบนฝ้าเพดานแล้ว ควรตรวจสอบจุดนี้เป็นลำดับแรก ๆ ก่อนลงมือซ่อมเพดานน้ำรั่ว ซึ่งวันนี้เราก็จะมาแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาฝ้าเพดานรั่วซึมในเบื้องต้นที่สามารถทำได้ด้วยตนเองมาฝากกัน

ก่อนอื่นที่เราจะมาพูดถึงวิธีการแก้ไข เราจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ปัญหาฝ้าเพดานรั่ว มีสาเหตุมีจากส่วนไหน ซึ่งส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจาก น้ำรั่ว น้ำซึม หรือการกักเก็บความชื้นจากห้องน้ำ ตลอดจนงานระบบประปาที่ห้องด้านบน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาที่ได้ผลและไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับการซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่ว อีกก็คือ การทำให้ปัญหาน้ำรั่วซึมหายไป โดยแก้ไขจากต้นตอของสาเหตุ หากเกิดปัญหาท่อประปาบริเวณฝ้าเพดาน หรือมีการติดตั้งโถสุขภัณฑ์ในห้องน้ำไม่ดี ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุ ฝ้าเพดานรั่วที่เกิดขึ้นได้บ่อย โดยเฉพาะการติดตั้งโถสุขภัณฑ์ ที่ไม่ตรงกับรูท่อที่เจาะลงพื้น จนทำให้การระบายน้ำทิ้งทำได้ไม่ดี


สุดท้ายแล้วจึงทำให้เกิดการรั่วซึมบริเวณชั้นล่างตามมา เราสามารถแก้ไขโดยการปิดรอยรั่วซึมที่ท่อน้ำ ขั้นตอนแรกของการแก้ไขปัญหา ฝ้าเพดานรั่ว ก็คือ การเปิดฝ้าเพดาน โดยจะต้องเป็นบริเวณการรั่วซึม หรือจุดที่คิดว่าเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น หลังจากนั้นให้นำผ้าหรือกระดาษทิชชู ไปพันไว้ตามจุดที่คิดว่ารั่วซึม แล้วให้ลองสังเกตว่ามีความชื้นเกาะตัวอยู่ที่ผ้าหรือทิชชูหรือไม่ หากมีก็ให้ซ่อมแซมท่อบริเวณจุดต่าง ๆ นั้นให้เรียบร้อย หรืออีกวิธีที่ได้ผลก็คือการทำกันซึมที่ต้อตอของสาเหตุ โดยเฉพาะบริเวณร่องยาแนวที่เสื่อมและทำให้น้ำไหลลงปูน วิธีการแก้ไขก็คือ การเปลี่ยนยาแนวใหม่ทั้งหมด

เริ่มจากทำความสะอาดพื้นผิวให้สะอาดเรียบร้อยโดยการขูดร่องยาแนวเดิมออกให้หมด จากนั้นผสมกาวยาแนวตามอัตราส่วน ทำการปาดกาวยาแนวที่ผสมไว้ โดยให้ปาดในมุม 45 องศา และเมื่อกาวยาแนวเริ่มแห้งหมาด ๆ แล้ว ให้นำฟองน้ำชุบน้ำบิดให้แห้งพอหมาด ๆ หลังจากนั้น ให้นำไปเช็ดกาวยาแนวส่วนที่เกินออกให้เรียบร้อย หากมีเวลา และอยากแก้ไขปัญหาให้จบแนะนำให้ทำการแก้ไขที่ห้องน้ำด้านบนเลยจะดีที่สุด เพราะจะทำให้ปัญหา ฝ้าเพดานรั่ว ที่มีหายไปได้อย่างหมดจด ซึ่งเราสามารถเรียกช่างที่มีความชำนาญมาแก้ไขให้ได้ เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้อย่างตรวจุด ไม่ต้องคอยกังวลว่า เพดานบ้านของคุณจะเกิดการรั่วซึมอีก

อย่างไรก็ตาม เราอยากให้ทุกครอบครัวได้สร้างบรรยากาศภายในครอบครัวให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีอยู่เสมอ ด้วยการทำความสะอาดบ้านช่องให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจัยหลายๆอย่างในบ้านของเรา สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เพราะสุขภาพที่ดีสามารถทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้เรามีบริการทำความสะอาดบ้าน หรือภายในอาคารต่างๆ รวมไปถึงยังมีบริการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ห้างสรรพสินค้า เพราะเราห่วงใยและใส่ใจในเรื่องสุขอนามัยของลูกค้ามาเป็นอันดับแรกเสมอ


12
โพสฟรี เว็บประกาศ / หมอออนไลน์: ธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
« เมื่อ: วันที่ 7 ตุลาคม 2024, 13:08:10 น. »
หมอออนไลน์: ธาลัสซีเมีย (Thalassemia)

ธาลัสซีเมีย เป็นโรคโลหิตจางที่มีสาเหตุจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ชนิดหนึ่ง ทำให้ร่างกายสร้างโปรตีนโกลบิน (ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเฮโมโกลบิน*) ที่มีลักษณะผิดปกติ ทำให้เม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยมีอายุสั้นและแตกง่าย เป็นผลให้เกิดอาการซีดเหลืองเรื้อรังและมีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา

ในบ้านเราพบว่ามีผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ประมาณร้อยละ 1 และมีทารกเกิดใหม่เป็นโรคนี้ปีละมากกว่า 10,000 ราย

นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้ที่เป็นพาหะของโรคนี้ (มียีนผิดปกติแฝงอยู่โดยไม่เป็นโรค แต่สามารถถ่ายทอดให้ลูกหลานได้) ในหมู่คนไทย โดยเฉลี่ยร้อยละ 30-45 ซึ่งจะพบมีอยู่ในทุกภาคของประเทศ สำหรับภาคอีสานจะมีพาหะของธาลัสซีเมียชนิดเฮโมโกลบินอี (haemoglobin E) สูง ส่วนภาคเหนือจะมีพาหะของแอลฟาธาลัสซีเมียมาก

ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียมักพบว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ หรือเป็นพาหะของโรคนี้ร่วมด้วยเสมอ

* เฮโมโกลบิน (haemoglobin) เป็นสารที่ให้สีแดงในเม็ดเลือดแดงประกอบขึ้นด้วยโปรตีนที่เรียกว่า โกลบิน (globin) และเฮม (heme) ซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ เฮโมโกลบินมีหน้าที่นำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย

สาเหตุ

เกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ซึ่งสามารถถ่ายทอดต่อ ๆ กันมาจากบรรพบุรุษในลักษณะยีนด้อย (autosomal recessive) กล่าวคือผู้ป่วย (ผู้ที่มีอาการแสดงของโรคนี้) จะต้องรับคู่ยีนที่ผิดปกติมาจากทั้งฝ่ายพ่อและแม่ทั้งสองยีน ส่วนผู้ที่รับยีนผิดปกติมาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว จะไม่ป่วยเป็นโรคนี้และมีสุขภาพเป็นปกติดี แต่จะมียีนผิดปกติแฝงอยู่ในตัวและสามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานต่อไป เรียกว่า พาหะ

เนื่องจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์มีได้หลากหลายลักษณะ โรคนี้จึงแบ่งออกเป็นหลายชนิด

ที่สำคัญมีอยู่ 2 กลุ่ม ได้แก่ แอลฟาธาลัสซีเมีย (alpha-thalassemia) และบีตาธาลัสซีเมีย (beta-thalassemia) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของยีนในการควบคุมการสร้างโปรตีนโกลบินชนิดแอลฟาและบีตาตามลำดับ ทั้ง 2 กลุ่มนี้ยังสามารถแบ่งเป็นชนิดย่อย ๆ ได้อีกหลายชนิด ซึ่งมีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันไป ซึ่งเป็นผลจากการจับคู่ระหว่างยีนผิดปกติชนิดต่าง ๆ

อาการ

อาการขึ้นกับชนิดของโรคที่เป็น ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 3 ระดับของความรุนแรง ดังนี้

1. โรคธาลัสซีเมียชนิดที่รุนแรงที่สุด ได้แก่ โรคเฮโมโกลบินบาร์ตไฮดรอปส์ฟีทัลลิส (haemoglobin Bart’s hydrops fetalis) เกิดจากยีนที่สร้างโกลบินชนิดแอลฟาขาดหายไปทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถสร้างโกลบินชนิดแอลฟาซึ่งเป็นโกลบินที่สำคัญที่สุดได้เลย แต่จะสร้างเฮโมโกลบินบาร์ตแทนทั้งหมด ซึ่งจะจับออกซิเจนไว้เอง ไม่ปล่อยให้แก่เนื้อเยื่อ ทำให้ผู้ที่เป็นโรคนี้มีความผิดปกติตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์มารดา โดยทารกมีอาการบวมน้ำจากภาวะซีดรุนแรง ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตตั้งแต่ในครรภ์ ส่วนน้อยเสียชีวิตขณะคลอดหรือหลังคลอดเพียงเล็กน้อย ทารกจะมีอาการซีด บวม ท้องป่อง ตับ และม้ามโต

มารดาที่ตั้งครรภ์ทารกที่เป็นโรคนี้ มักจะมีภาวะครรภ์เป็นพิษแทรกซ้อน มักจะมีการคลอดผิดปกติ และตกเลือดก่อนหรือหลังคลอด

2. โรคธาลัสซีเมียที่มีอาการรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก ส่วนใหญ่เป็นบีตาธาลัสซีเมียชนิดโฮโมไซกัส (homozygous beta-thalassemia) และบางส่วนของบีตาธาลัสซีเมียชนิดมีเฮโมโกลบินอี (beta-thalassemia/haemoglobin E) เกิดจากความผิดปกติของยีนที่สร้างโกลบินชนิดบีตา ผู้ป่วยกลุ่มนี้เมื่อแรกเกิดมีลักษณะเป็นปกติ ไม่ซีด จะซีดตั้งแต่อายุ 2-3 เดือน (ในกลุ่มอาการรุนแรงมาก) หรือเมื่ออายุเป็นปีไปแล้ว (ในกลุ่มรุนแรงปานกลาง) อาการสำคัญคือ ซีด เหลือง ตับโต ม้ามโต ตัวเล็กแกร็น น้ำหนักน้อยไม่สมอายุ เป็นหนุ่มเป็นสาวช้า ใบหน้าแปลก (ดังที่เรียกว่า หน้าธาลัสซีเมีย)

กลุ่มที่มีอาการรุนแรงมาก หากไม่ได้รับการรักษาจะมีอายุสั้น (ร้อยละ 50 เสียชีวิตภายในเวลา 10 ปี ร้อยละ 70 เสียชีวิตภายใน 25 ปี)

ส่วนกลุ่มที่อาการรุนแรงปานกลาง อาจมีอายุยืนยาวจนเป็นผู้ใหญ่ สามารถแต่งงานมีบุตรหลานได้

3. โรคธาลัสซีเมียที่มีอาการน้อย ส่วนใหญ่เป็นโรคเฮโมโกลบินเอช (haemoglobin H disease ซึ่งอยู่ในกลุ่มแอลฟาธาลัสซีเมีย) และบางส่วนของบีตาธาลัสซีเมียชนิดมีเฮโมโกลบินอี ผู้ป่วยมีภาวะซีดเล็กน้อย เหลืองเล็กน้อย ม้ามไม่โตหรือโตเพียงเล็กน้อย การเจริญเติบโตค่อนข้างปกติ ลักษณะใบหน้าปกติ (ไม่เป็นหน้าธาลัสซีเมีย) สุขภาพค่อนข้างแข็งแรงและอายุยืนยาวเช่นคนปกติ โดยทั่วไปมักไม่ต้องมาพบแพทย์และไม่จำเป็นต้องได้รับเลือดรักษา ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้ และอาจได้รับการวินิจฉัยเมื่อมาพบแพทย์ด้วยสาเหตุอื่น หรือเมื่อมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เป็นนิ่วน้ำดี

ผู้ป่วยเฮโมโกลบินเอชบางครั้งอาจเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน (acute hemolysis) ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อมีไข้จากการติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการซีดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนต้องได้รับเลือด

นอกจาก 3 กลุ่มอาการดังกล่าวแล้ว ยังมีกลุ่มที่ไม่มีอาการ เช่น แอลฟาธาลัสซีเมีย 2 ชนิดโฮโมไซกัส (homozygous alpha-thalassemia 2) เฮโมโกลบินอีชนิดโฮโมไซกัส (homozygous haemoglobin E ซึ่งอยู่ในกลุ่มบีตาธาลัสซีเมีย) พวกนี้มียีนผิดปกติที่รับจากพ่อและแม่ทั้ง 2 ฝ่าย (ต่างจากกลุ่มที่เป็นพาหะที่รับยีนผิดปกติจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว) แต่ไม่ส่งผลให้เกิดโรคตามมา จึงมีสุขภาพแข็งแรงเช่นคนปกติทั่วไป คนกลุ่มนี้ไม่จัดว่าเป็นโรค แต่สามารถถ่ายทอดยีนผิดปกติให้ลูกหลานต่อไป


ภาวะแทรกซ้อน

มักพบในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่

ในรายที่มีภาวะซีดรุนแรง อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย

ผู้ป่วยมักมีภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อง่าย ติดเชื้อรุนแรง

มีโอกาสเป็นนิ่วน้ำดีมากกว่าคนปกติ เนื่องจากมีสารบิลิรูบิน (จากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง) มากกว่าปกติ และไปตกตะกอนในถุงน้ำดี ทำให้เกิดเป็นนิ่วได้ อาจเป็นถุงน้ำดีอักเสบแทรกซ้อนได้

กระดูกแขนขาเปราะ แตกหักง่าย เนื่องจากกระดูกส่วนเปลือก (cortex) มีลักษณะบาง ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของไขกระดูกเพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น

ผู้ป่วยมักมีภาวะเหล็กเกิน เนื่องจากภาวะโลหิตจางทำให้ลำไส้เล็กดูดซึมธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น ประกอบกับการได้ธาตุเหล็กจากเลือดที่ผู้ป่วยได้รับบ่อย ธาตุเหล็กที่มากเกินจะไปจับที่อวัยวะต่าง ๆ เช่น ที่ผิวหนังทำให้ผิวออกเป็นสีเทาอมเขียว ที่ตับทำให้ตับแข็ง ที่ตับอ่อนทำให้เป็นเบาหวาน ที่หัวใจทำให้หัวใจเต้นผิดปกติหรือหัวใจวาย ที่ต่อมไร้ท่อต่าง ๆ ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตช้า และการเจริญทางเพศล่าช้า

นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น แผลเรื้อรังที่ตาตุ่ม การกดทับประสาทไขสันหลังจากก้อนที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดแดงนอกไขกระดูก


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

สำหรับกลุ่มที่มีอาการรุนแรง มักตรวจพบว่ามีภาวะซีด ดีซ่าน ม้ามโต* (บางรายโตมากจนถึงสะดือ) ตับโต ท้องป่อง (จากที่ม้ามและตับโตมาก) รูปร่างผอมและเล็กไม่สมอายุ กล้ามเนื้อลีบและแขนขาเล็ก ผิวหนังคล้ำออกเป็นสีเทาอมเขียว

ลักษณะโดดเด่นอีกข้อ คือ หน้าตาแปลก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของกระดูกกะโหลกศีรษะและใบหน้า ทำให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า หน้าธาลัสซีเมีย (thalassemia facies) คือ กะโหลกศีรษะนูนเป็นพู หน้าผากโหนก ตาห่าง ดั้งจมูกแบน โหนกแก้มสูง คางและขากรรไกรกว้าง ฟันบนยื่น ฟันไม่สบกัน ฟันเรียงตัวผิดปกติ

สำหรับกลุ่มที่มีอาการเล็กน้อย จะตรวจพบภาวะซีด เหลืองเล็กน้อย ม้ามไม่โตหรือโตเพียงเล็กน้อย หน้าตามีลักษณะปกติ รูปร่างปกติ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือดจะพบภาวะซีด (ระดับเฮโมโกลบิน และฮีมาโทคริตต่ำ) ดัชนีเม็ดเลือดแดง (MCV, MCH และ MCHC) มีค่าต่ำ มีเม็ดเลือดแดงตัวอ่อนมากขึ้น

เม็ดเลือดแดงมีลักษณะผิดปกติ คือ มีขนาดเล็ก (microcytosis) ติดสีจาง (hypochromia) มีหลากขนาด (anisocytosis) มีหลากรูป (poikilocytosis) พบเซลล์รูปเป้า (target cell) และจุดแต้มสีน้ำเงินในไซโตพลาสซึม (basophilic stippling)

หากต้องการแยกแยะชนิดของธาลัสซีเมียก็จำเป็นต้องทำการตรวจชนิดและปริมาณของเฮโมโกลบิน (haemoglobin typing) ซึ่งมีอยู่หลายวิธี บางรายอาจจำเป็นต้องตรวจดีเอ็นเอเพื่อดูรายละเอียดของยีน

* อาการม้ามโต โบราณเรียกว่า ป้าง อุปถัมภ์ม้ามย้อย จุกกระผามม้ามย้อย มักพบในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย มาลาเรียเรื้อรัง


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาตามชนิดและความรุนแรงของโรค

    ถ้าเป็นชนิดที่มีอาการน้อย (เช่น โรคเฮโมโกลบินเอช) ถ้ารู้สึกสบายดีก็ไม่ต้องให้การรักษา เพียงแต่ให้คำแนะนำและติดตามดูอาการ แต่ถ้าช่วงไหนผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ซีดมากเนื่องจากเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน ซึ่งมักพบเมื่อเป็นไข้จากการติดเชื้อ ก็จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาลเพื่อให้เลือดและรักษาตามอาการและสาเหตุที่พบร่วม
    ถ้าเป็นชนิดที่มีอาการรุนแรง เช่น ซีด เหลืองเรื้อรังมาตั้งแต่เล็ก มีโรคติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ก็ควรได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์อย่างต่อเนื่อง

การรักษาที่จำเป็น คือ การให้เลือด และยาขับเหล็ก ซึ่งจะต้องให้ต่อเนื่องไปตลอดชีวิต

การรักษาที่ได้ผลดี ควรเริ่มให้เลือดแก่ผู้ป่วยตั้งแต่อายุยังน้อย ให้อย่างสม่ำเสมอทุก 2-3 สัปดาห์ เพื่อรักษาระดับเฮโมโกลบินให้สูงใกล้เคียงปกติ จนถึงวัยเจริญเต็มที่แล้วจึงให้ห่างขึ้น วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยเจริญเติบโตเป็นปกติ รูปร่างและใบหน้าปกติ (ไม่เปลี่ยนเป็นหน้าธาลัสซีเมีย) ม้ามไม่โต หรือถ้าเคยโตอยู่ก็ยุบลง ช่วยให้หัวใจไม่ต้องทำงานมากเกิน รวมทั้งป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้

ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดบ่อย จะเกิดภาวะเหล็กเกินแทรกซ้อน จำเป็นต้องกินยาขับเหล็ก (เช่น deferasirox, deferiprone) ร่วมด้วยไปตลอดชีวิต

แพทย์จะทำการประเมินภาวะเหล็กเกินโดยการตรวจระดับเฟอร์ริทิน (ferritin) ในเลือด และปรับขนาดยาขับเหล็กให้เหมาะสมเป็นระยะ ๆ

ส่วนวิธีการรักษาอื่น ๆ แพทย์จะพิจารณาตามความจำเป็นดังนี้

    การรักษาภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคติดเชื้อ (อาจต้องให้ยาปฏิชีวนะ) กระดูกหัก นิ่วน้ำดี ภาวะหัวใจวาย การกดทับประสาทไขสันหลัง เป็นต้น
    การให้ยาเม็ดกรดโฟลิก (folic acid) สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงที่เป็นเรื้อรัง จนไขกระดูกผู้ป่วยมีการสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างมาก (สังเกตจากรูปร่างใบหน้าที่มีลักษณะของหน้าธาลัสซีเมีย) ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องการกรดโฟลิกเพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยในการสร้างเม็ดเลือดของไขกระดูก โดยให้กินยาขนาด 5 มก. วันละ 1 เม็ด ไปจนตลอดชีวิต
    การตัดม้าม จะทำในรายที่มีม้ามโตมากจนเบียดอวัยวะในช่องท้อง หรือมีภาวะม้ามทำงานมากเกิน (hypersplenism) คือมีการทำลายเม็ดเลือดแดงมากจนต้องให้เลือดบ่อยขึ้น หลังตัดม้ามเม็ดเลือดแดงถูกทำลายน้อยลง ทำให้ลดการให้เลือดลง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเฮโมโกลบินเอช จะได้ผลดีจนไม่ต้องให้เลือดอีกเลย) ผลเสียของการตัดม้าม คือ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กอายุน้อยกว่า 4 ปี จึงควรทำในเด็กที่เกินวัยนี้ไปแล้ว ก่อนตัดม้าม 2-6 สัปดาห์ แพทย์จะฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อนิวโมค็อกคัสและเมนิงโกค็อกคัสให้ผู้ป่วย และหลังตัดม้ามจะให้ผู้ป่วยกินเพนิซิลลินวี ครั้งละ 250 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 2-3 ปี เพื่อป้องกันการติดเชื้อสเตรปโตค็อกคัส และให้แอสไพริน 75 มก. วันละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันภาวะลิ่มเลือดอุดตันในผู้ป่วยที่มีเกล็ดเลือดสูงหลังตัดม้าม
    การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (stem cell transplantation) เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดส่วนใหญ่ได้จากไขกระดูกของผู้บริจาค แต่จะเก็บจากรกหรือเลือดสายสะดือเด็กหลังคลอด หรือเก็บจากเลือดของผู้บริจาคก็ได้ แพทย์จะทำการรักษาโดยวิธีนี้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงแต่ยังไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากภาวะเหล็กเกินหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ การรักษาโดยวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยหายขาดจากโรคได้ประมาณร้อยละ 80 โดยมีสุขภาพแข็งแรง ไม่ต้องให้เลือดหรือยาใด ๆ อีกต่อไป มีเพียงส่วนน้อยที่โรคกลับกำเริบซ้ำหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจากการรักษา

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการซีด เหลือง ตัวเล็กแกร็น น้ำหนักน้อยไม่สมอายุ เป็นหนุ่มเป็นสาวช้า ใบหน้าแปลก ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นธาลัสซีเมีย ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ มีโปรตีนสูง (เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ เต้าหู้ ถั่วต่าง ๆ) และมีสารโฟเลตสูง (พืชผักต่าง ๆ) เพื่อใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดง
    หลีกเลี่ยงอาหารที่ธาตุเหล็กสูงมาก ได้แก่ เลือดสัตว์ต่าง ๆ เพราะร่างกายมีเหล็กมากเกินอยู่แล้ว
    ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจซ้ำเติมให้เกิดโรคตับแข็งได้เร็วขึ้น เนื่องจากเหล็กที่สะสมในร่างกายมีพิษต่อตับอยู่แล้ว
    ห้ามสูบบุหรี่ นอกจากมีโทษต่อสุขภาพโดยรวมแล้ว ยังอาจทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนมากขึ้น เนื่องจากมีภาวะซีดอยู่แล้ว
    ป้องกันการติดเชื้อ โดยการรักษาอนามัยส่วนบุคคล หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่แออัด
    หลีกเลี่ยงการกระทบกระแทก การลื่นหกล้ม เพราะผู้ป่วยมีกระดูกเปราะบาง อาจแตกหักได้ง่าย
    หมั่นออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ ไม่หักโหม หรือเหนื่อยเกินไป
    กินยาเม็ดกรดโฟลิก (folic acid) ขนาด 5 มก. เสริมวันละ 1 เม็ด ไปจนตลอดชีวิต
    ไม่ควรซื้อยาบำรุงโลหิตหรือกลุ่มยาวิตามินบำรุงร่างกายมากินเอง เพราะอาจเป็นยาที่มีธาตุเหล็กซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก แต่เป็นโทษต่อผู้ป่วยธาลัสซีเมียที่มีภาวะเหล็กเกินอยู่แล้ว


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการเป็นไข้ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือซีดมากกว่าปกติ
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)


การป้องกัน

ควรหาทางป้องกันไม่ให้คู่สมรสมีบุตรที่เป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง ดังนี้

1. รณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องธาลัสซีเมียแก่ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายหญิงวัยเจริญพันธุ์

2. ตรวจหาพาหะในกลุ่มคนต่าง ๆ ได้แก่ ชายหญิงที่มีบุตรเป็นโรคธาลัสซีเมีย (อย่างน้อยต้องเป็นพาหะหรือมียีนของธาลัสซีเมียทั้ง 2 ฝ่าย) พี่น้องหรือญาติของผู้ที่เป็นโรคหรือพาหะ ชายหญิงวัยเจริญพันธุ์ก่อนแต่งงานหรือก่อนมีบุตร หญิงขณะตั้งครรภ์อ่อน (อายุครรภ์น้อยกว่า 16-20 สัปดาห์)

การตรวจกรองหาพาหะ มีอยู่ 2 วิธี คือ การทดสอบความเปราะของเม็ดเลือดแดงชนิดหลอดเดียว (one tube osmotic fragility test หรือ OF ซึ่งจะให้ผลบวกในพาหะของบีตาธาลัสซีเมีย และพาหะของแอลฟาธาลัสซีเมีย 1) และการทดสอบการตกตะกอนของเฮโมโกลบินอีโดยใช้สีพิเศษ (DCIP precipitation test ซึ่งจะให้ผลบวกในพาหะของเฮโมโกลบินอี และทุกภาวะที่มีเฮโมโกลบินอีอยู่ด้วย)

ถ้าผลการตรวจกรองด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งผิดปกติ หรือผิดปกติทั้ง 2 วิธี ต้องทำการตรวจยืนยันด้วยการตรวจชนิดและปริมาณของเฮโมโกลบิน (haemoglobin typing) และบางกรณีอาจจำเป็นต้องตรวจดีเอ็นเอ

3. สำหรับผู้ที่เป็นพาหะที่เสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคธาลัสซีเมียรุนแรง ควรแนะนำทางเลือกในการป้องกันไม่ให้มีบุตรเป็นโรคนี้ ดังนี้

    ผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ทางเลือกคือ อยู่เป็นโสดหรือเลือกคู่สมรสที่ไม่เป็นพาหะเสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคนี้
    ถ้าคู่สมรสเป็นพาหะด้วยกันและเสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคนี้ ทางเลือกคือ การคุมกำเนิดไม่ให้มีบุตร การรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง หรือการใช้การผสมเทียมหรือเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์อื่น ๆ


ในกรณีที่คู่สมรสดังกล่าวเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นมา ควรตรวจดูว่าทารกในครรภ์เป็นโรคนี้หรือไม่ ดังที่เรียกว่า การวินิจฉัยก่อนคลอด (prenatal diagnosis) ซึ่งมีวิธีการตรวจหลายวิธี ได้แก่ การตรวจดีเอ็นเอ (โดยใช้ชิ้นรก เซลล์ในน้ำคร่ำ หรือเลือดจากสายสะดือ) การตรวจชนิดและปริมาณเฮโมโกลบิน (โดยใช้เลือดจากสายสะดือ) การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรืออัลตราซาวนด์ (ซึ่งสามารถวินิจฉัยโรคเฮโมโกลบินบาร์ตไฮดรอปส์ฟีทัลลิส) ถ้าพบว่าทารกเป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง หรือมีอันตรายต่อมารดาอาจจำเป็นต้องพิจารณายุติการตั้งครรภ์

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยควรติดตามรักษากับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าโรคนี้จะเป็นเรื้อรัง แต่การรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่องจะช่วยให้โรคทุเลา ป้องกันภาวะแทรกซ้อน มีชีวิตยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

2. ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ทันทีเมื่อรู้สึกมีไข้ ซีดลงอย่างมาก หรือมีอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เพื่อรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้อาการอาจรุนแรงขึ้นในเวลารวดเร็วได้

3. ผู้ป่วยรับวัคซีนป้องกันโรคตามกำหนด (รวมทั้งวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีและ Hemophilus influenzae type b) สำหรับผู้ที่ผ่าตัดม้ามออกควรได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อนิวโมค็อกคัสทั้งก่อนและหลังผ่าตัด

4. ในการดูแลรักษาผู้ป่วย ควรให้คำปรึกษาแนะแนว (counselling) แก่ผู้ป่วยและครอบครัว ให้เข้าใจถึงธรรมชาติของโรค ความหมายของการเป็นพาหะ ความเสี่ยงต่อการมีลูกเป็นโรค แนวทางปฏิบัติในการรักษาโรคและการป้องกันในครอบครัว และทำการตรวจกรองโรคในหมู่สมาชิกของครอบครัวผู้ป่วย รวมทั้งให้การสนับสนุนด้านจิตใจและสังคม เพื่อให้ผู้ป่วยมีกำลังใจสามารถรับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

13
โพสฟรี เว็บประกาศ / รถไฟฟ้า ev นิสสัน Nissan-Leaf EV-ปี 2023
« เมื่อ: วันที่ 4 ตุลาคม 2024, 20:24:32 น. »
รถไฟฟ้า ev นิสสัน Nissan-Leaf EV-ปี 2023
1,590,000 บาท

นิสสัน Nissan-Leaf EV-ปี 2023
Nissan LEAF มาพร้อมระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า (e-powertrain) กับชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนชุดใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน พร้อมกับแรงบิดและพละกำลังที่สูงขึ้น ให้กำลัง 110 กิโลวัตต์ (150 แรงม้า) แรงบิด 320 นิวตัน-เมตร ส่งผลให้มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.9 วินาที และเทคโนโลยีอันโดดเด่น e-Pedal เพียงยกเท้าออกจากคันเร่ง ตัวรถจะลดความเร็วจนหยุดนิ่ง โดยไม่จำเป็นต้องแตกเบรก ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ตกยกเท้าจากคันเร่งเพื่อเหยียบแป้นเบรกบ่อยครั้ง และ Nissan Safety Shield หรือเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงหลายรายการ อาทิ เตือนการชนด้านหน้า, ช่วยเบรกฉุกเฉิน, กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง, เตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน, ควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง และช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์               Nissan
   รุ่น                    นิสสัน Nissan-Leaf EV-ปี 2023
   ประเภทรถ            รถเก๋ง 5 ประตู, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว            2023
   ราคา                1,590,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
สเกิร์ต (รอบคันสีดำ)
สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรค (แบบ LED)
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว
ไฟตัดหมอก (หน้าแบบ LED)
ปัดน้ำฝนกระจกหลัง (แบบหน่วงเวลา)
ไฟท้าย LED
ขนาดยางหน้า-หลัง (215/50 R17)
ไฟ Daytime Running Lights
ไฟหน้า LED (พร้อมปรับอัตโนมัติ)
ล้ออัลลอย (17 นิ้ว)

   ภายใน
เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้
ตกแต่งภายใน (มีให้เลือก 2 แบบ โทนสีดำ และ โทนสีเทาอ่อน)
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า                  มอเตอร์ไฟฟ้า EM57 ชนิด AC3 Synchronous

   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)    150 แรงม้า
   ระบบเกียร์                      เกียร์อัตโนมัติ
   รูปแบบเกียร์                   แบบ Single Speed Gear Reduction
   ระบบเบรค ABS              มี (พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA)
   ชนิดแบตเตอรี่                ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่             40 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง       311 กิโลเมตร
   น้ำหนักตัวรถ                         1,545 กก.
   ประเภทยางรถยนต์                   -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                     ล้ออัลลอย (17 นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน                   ขับเคลื่อนล้อหน้า (Front Motor)

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย

อุปกรณ์ความปลอดภัย 
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (VDC)
ตัวถังนิรภัย
ดิสก์เบรก 4 ล้อ
เซ็นทรัลล็อค
กุญแจรีโมท (พร้อมระบบเปิดฝากระโปรงท้ายโดยกดปุ่ม)
กุญแจนิรภัย (Immobilizer)
ไฟเบรกดวงที่ 3
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (กล้องมองภาพรอบทิศทาง AVM,รับบป้องกันเด็กเปิดประตูหลังจากภายในรถ,เตือนเมื่อยล้าขณะขับขี่)
เข็มขัดนิรภัย (คู่หน้า ELR แบบดึงกลับ และผ่อนแรงอัตโนมัติ, ที่นั่งด้านหลัง ELR แบบ 3 จุด 3 ตำแหน่ง)
พวงมาลัยยุบตัวได้
กระจกนิรภัย
คานเหล็กเสริมนิรภัย
อื่นๆ (ระบบตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน,ระะบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง,ระบบช่วยผ้องกันรถออกนอกช่องทาง)
เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking - IEB)
เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW)
เทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HSA
เบรกมือไฟฟ้า

14
โปรแกรมหมอประจำบ้านอัจริยะ: ภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease/COPD)

ภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง หมายถึงภาวะที่มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากโรคเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งมีอยู่หลายโรค ที่สำคัญได้แก่ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและถุงลมปอดโป่งพอง ทั้ง 2 โรคนี้มักจะพบร่วมกัน ทำให้มีการลดลงของอัตราการไหลเวียนของลมหายใจผ่านปอดขณะหายใจออก จึงมีอากาศคั่งค้างอยู่ในปอดมากกว่าปกติ ประกอบกับการแลกเปลี่ยนอากาศขึ้นได้น้อยกว่าปกติ (มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำลง และระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงขึ้น) เป็นเหตุให้ผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อยง่าย

หลอดลมอักเสบเรื้อรัง หมายถึง การอักเสบของเยื่อบุผิวภายในหลอดลม ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องเรื้อรัง เป็นผลมาจากการถูกสารพิษในบุหรี่หรือสิ่งระคายเคือง ทำให้ขนอ่อน (cilia) พิการ ไม่สามารถโบกพัดเพื่อขจัดเชื้อโรคและสิ่งระคายเคืองออกไป เมื่อเยื่อบุหลอดลมเกิดการอักเสบเรื้อรัง ก็จะทำให้เซลล์เยื่อบุหลอดลมมีการเพิ่มจำนวนและหนาตัวขึ้น รวมทั้งต่อมเมือก (mucous glands) บวมโตและหลั่งเมือก (เสมหะ) ออกมากกว่าปกติ จนทำให้ช่องทางเดินหายใจแคบลง เกิดภาวะอุดกั้นขึ้น แพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง เมื่อพบว่าผู้ป่วยมีอาการไอมีเสมหะมากติดต่อกันทุกวันปีละมากกว่า 3 เดือนขึ้นไป ติดต่อกันอย่างน้อย 2 ปี

ถุงลมปอดโป่งพอง (ถุงลมพอง ก็เรียก) หมายถึง ภาวะพิการอย่างถาวรของถุงลมในปอด ปกติถุงลมอยู่ปลายสุดของปอด ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนล้าน ๆ ถุง เป็นถุงอากาศเล็ก ๆ มีหลอดเลือดหุ้มอยู่โดยรอบ เป็นที่ซึ่งเกิดการแลกเปลี่ยนอากาศ กล่าวคือ ก๊าชออกซิเจนในถุงลมซึมผ่านผนังถุงลมและหลอดเลือดเข้าไปในกระแสเลือดและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระแสเลือด ซึมกลับออกมาในถุงลม ถุงลมที่ปกติจะมีผนังที่ยืดหยุ่น ทำให้ถุงลมหดและขยายตัวได้คล้ายฟองน้ำ ซึ่งช่วยให้การแลกเปลี่ยนอากาศเป็นไปอย่างเต็มที่ ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคถุงลมปอดโป่งพอง จะมีผนังถุงลมที่เสียความยืดหยุ่นและเปราะง่าย ทำให้ถุงลมสูญเสียหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนอากาศ นอกจากนี้ผนังของถุงลมที่เปราะยังมีการแตกทะลุ ทำให้ถุงลมขนาดเล็ก ๆ หลาย ๆ อันรวมตัวเป็นถุงลมที่โป่งพองและพิการ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ จำนวนพื้นผิวของถุงลมที่ยังทำหน้าที่ได้ทั้งหมดลดน้อยลงกว่าปกติ ทำให้ออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยลง เกิดอาการเหนื่อยหอบง่าย

ทั้ง 2 โรคนี้มักจะเกิดร่วมกัน จนบางครั้งแยกกันไม่ออก พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง หลอดลมอักเสบเรื้อรังจะพบมากในช่วงอายุ 30-60 ปี ส่วนถุงลมปอดโป่งพองพบมากในช่วงอายุ 45-65 ปี ส่วนใหญ่จะมีประวัติสูบบุหรี่จัด (มากกว่าวันละ 20 มวน) มานานเป็น 10-20 ปีขึ้นไป หรือไม่ก็มีประวัติอยู่ในที่ที่มีอากาศเสีย สูดควันเป็นประจำ หรือมีอาชีพทำงานในโรงงาน หรือเหมืองแร่ที่หายใจเอาสารระคายเคืองเข้าไปเป็นประจำ

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากสารพิษในบุหรี่ที่สูบเข้าไปทำลายเยื่อบุหลอดลมและถุงลมในปอด ซึ่งค่อย ๆ เกิดขึ้น และลุกลามรุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ และในที่สุดเกิดความพิการอย่างถาวรดังกล่าวข้างต้น (พบว่าประมาณร้อยละ 15-20 ของผู้ที่สูบบุหรี่จัดจะเกิดภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง)

ส่วนน้อยอาจเกิดจากมลพิษในอากาศ (เช่น ฝุ่น สารเคมี) จากการประกอบอาชีพอย่างต่อเนื่อง และอาจเสี่ยงมากขึ้น เมื่อมีการสูบบุหรี่ร่วมด้วย   

ในบางพื้นที่ (เช่น เขตเขาทางภาคเหนือ) พบว่าเกิดจากการใช้ฟืนหุงต้มหรือก่อไฟภายในบ้านที่ขาดการถ่ายเทอากาศ เป็นเหตุให้ผู้ป่วยสูดควันอยู่ประจำจนเป็นพิษต่อทางเดินหายใจ

ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหืด มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรังมากกว่าคนปกติ และการสูบบุหรี่ยิ่งทำให้เสี่ยงมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังพบว่าอาจเกิดจากภาวะพร่องสารต้านทริปซิน (alpha1-antitrypsin ซึ่งเป็นโปรตีนป้องกันไม่ให้ถุงลมปอดถูกสารพิษทำลาย) ภาวะนี้พบได้น้อย สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ และมักเกิดอาการในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 40-50 ปี


อาการ

ระยะที่เริ่มเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (อาจเริ่มในช่วงอายุ 30-40 ปี) จะมีอาการไอมีเสมหะเรื้อรังทุกวันเป็นแรมเดือนแรมปี ผู้ป่วยมักจะไอหรือขากเสมหะในคอหลังจากตื่นนอนตอนเช้าเป็นประจำ จนนึกว่าเป็นเรื่องปกติ และไม่ได้ใส่ใจดูแลรักษา ต่อมาจะไอถี่ขึ้นตลอดทั้งวัน และมีเสมหะจำนวนมาก ในช่วงแรกมีลักษณะเป็นสีขาว ต่อมาอาจเป็นสีเหลืองหรือเขียว มีไข้ขึ้นหรือหอบเหนื่อยเป็นครั้งคราวจากโรคติดเชื้อแทรกซ้อน

ถ้าไม่หยุดสูบบุหรี่ จนมีโรคถุงลมปอดโป่งพองตามมา (อาจใช้เวลามากกว่า 10 ปี จากระยะเริ่มเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง) นอกจากอาการไอเรื้อรังแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยง่ายเฉพาะเวลาออกแรงมาก หรือเมื่อมีโรคติดเชื้อแทรก (เช่น มีไข้ ไอมีเสมหะเหลืองหรือเขียว) อาการหอบเหนื่อยจะค่อย ๆ เป็นมากขึ้น แม้แต่เวลาพูดหรือเดินหรือทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะรู้สึกเหนื่อยง่าย จนในที่สุด (อาจใช้เวลา 5-10 ปีขึ้นไป) แม้แต่อยู่เฉย ๆ ก็รู้สึกหอบเหนื่อย ทั้งนี้เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถหายใจแลกเปลี่ยนอากาศ (ออกซิเจน) ได้เพียงพอต่อการนำไปเลี้ยงร่างกายให้เกิดพลังงาน

ในระยะหลัง ผู้ป่วยมักมีอาการกำเริบหนักเป็นครั้งคราวเมื่อมีการติดเชื้อแทรกซ้อน ทำให้มีไข้และไอมีเสมหะสีเหลืองหรือเขียว หายใจหอบ ตัวเขียว จนต้องเขารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล

บางครั้งอาจมีภาวะหัวใจวายแทรกซ้อน

เมื่อเป็นถึงขั้นระยะรุนแรง ผู้ป่วยมักมีอาการเบื่ออาหารและน้ำหนักลด รูปร่างผ่ายยอม และมีอาการเหนื่อยหอบอยู่ตลอดเวลา มีอาการทุกข์ทรมาน และรู้สึกท้อแท้

ภาวะแทรกซ้อน

มักมีการติดเชื้อแทรกซ้อนเป็นครั้งคราว เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ซึ่งจะทำให้มีอาการหอบกำเริบรุนแรง ระยะแรก ๆ ประมาณปีละ 1-2 ครั้ง แต่เมื่อโรคถุงลมปอดโป่งพองเป็นรุนแรงมากขึ้น ก็มีโอกาสติดเชื้อได้ถี่ขึ้นจนผู้ป่วยอาจต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลบ่อย

ระยะรุนแรง ผู้ป่วยมักมีภาวะการหายใจล้มเหลวเรื้อรัง (chronic respiratory failure) ร่วมด้วย และอาจมีภาวะหัวใจวายแทรกซ้อน มีอาการหอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ หลอดเลือดที่คอโป่ง เท้าบวม ตับโต หัวใจห้องขวาล่างโต เรียกว่า โรคหัวใจเหตุจากปอด (cor pulmonale)

ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ปอดทะลุ จากการที่ถุงลมส่วนนอก (ใกล้เยื่อหุ้มปอด) แตก ไอออกเป็นเลือดจากการอักเสบของหลอดลม ภาวะเม็ดเลือดแดงมาก (polycythemia ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดมีลิ่มเลือด หรือ phrombosis) ไส้เลื่อน กำเริบเนื่องจากอาการไอเรื้อรัง เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

ในระยะแรก อาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

ระยะต่อมาใช้เครื่องฟังตรวจปอดมักได้ยินเสียงอึ๊ด (rhonchi) เสียงกรอบแกรบ (crepitation) เสียงวี้ด (wheezing) และ/หรือเสียงหายใจออกยาว (prolonged expiration) ในรายที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อนมักมีไข้ร่วมด้วย

ในระยะที่เป็นมากขึ้น อาจพบอาการหายใจเร็ว หน้าอกมีอาการเคาะโปร่ง (hyperresonant) และเมื่อใช้เครื่องฟังตรวจปอด จะพบเสียงหายใจค่อย (ฟังไม่ค่อยได้ยิน) เนื่องจากมีอากาศค้างอยู่ในถุงลม และลมหายใจเข้าออกได้น้อย ถ้ามีอากาศค้างอยู่ในถุงลมมาก ก็จะพบหน้าอกมีลักษณะเป็นรูปถังทรงกระบอก เรียกว่า อกถัง หรือ อกโอ่ง (barrel chest)

ในรายที่จำเป็นต้องวินิจฉัยโรคนี้ให้แน่ชัด แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะ ทำการวัดปริมาตรอากาศหายใจ (spirometry) เพื่อประเมินสมรรถภาพของปอด* ในรายที่เป็นระยะรุนแรงอาจทำการตรวจเลือดประเมินภาวะเม็ดเลือดแดงมาก (polycythemia) ซึ่งอาจพบในผู้ป่วยบางราย ตรวจระดับออกซิเจนในเลือด (ซึ่งจะต่ำกว่าปกติตั้งแต่ระยะแรก ๆ) และคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด (ซึ่งจะสูงกว่าปกติในระยะต่อมา) ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น ในรายที่อายุต่ำกว่า 40 ปีอาจตรวจหาระดับสารต้านทริปซินในเลือด

อกโอ่ง

* ดูค่า FEV1 (forced expiratory volume in one second) ซึ่งหมายถึง ปริมาตรอากาศที่หายใจออกใน 1 วินาที และค่า FVC (forced vital capacity) ซึ่งหมายถึง ปริมาตรอากาศที่หายใจออกจนสุดอย่างเต็มที่หนึ่งครั้ง

แพทย์จะประเมินจากค่า FEV1 และ FEV1/FVC (ค่า FEV1 หารด้วยค่า FVC) ซึ่งทั้ง 2 ค่านี้ถ้ายิ่งมีค่าต่ำ ก็ยิ่งบ่งชี้ว่ายิ่งมีความรุนแรง เช่น ในรายที่มีภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง มักมีค่า FEV1/ FVC < 70% และมีค่า FEV1 ≥ 80% ของค่ามาตรฐาน (ในรายที่เป็นเล็กน้อย) ระหว่าง 30-80% (ในรายที่เป็นปานกลาง) และ < 30% (ในรายที่เป็นรุนแรง)

การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้ยาบรรเทาตามอาการ เช่น ถ้ามีเสียงวี้ด (wheezing) ให้ยาขยายหลอดลม กลุ่มยากระตุ้นบีตา 2 หรือไอพราโทรเพียมโบรไมด์ชนิดสูด อย่างใดอย่างหนึ่งหรือใช้ร่วมกัน ถ้ามีอาการหอบตอนดึก อาจให้ยาขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์ยาว ในรายที่เป็นรุนแรงมักจะให้สเตียรอยด์ชนิดสูดร่วมกับยาข้างต้น

2. ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น มีไข้หรือมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว ก็จะให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน, ร็อกซิโทรไมซิน, ดอกซีไซคลีน, โคไตรม็อกซาโซล เป็นต้น) นาน 7-10 วัน

3. ในรายที่มีอาการหายใจหอบรุนแรง หรือสงสัยเป็นปอดอักเสบ ปอดทะลุ หรือภาวะหัวใจวาย แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ อาจต้องให้ออกซิเจน ใส่ท่อหายใจ และใช้เครื่องช่วยหายใจ

ผลการรักษา ขึ้นกับระยะและความรุนแรงของโรค ถ้าเป็นระยะแรก (FEV1 > 50% ของค่ามาตรฐาน) และผู้ป่วยสามารถเลิกบุหรี่ได้เด็ดขาด ก็มักจะได้ผลดี โรคจะไม่ลุกลามรุนแรงมากขึ้น แต่ถ้าปล่อยให้ลุกลามจนถึงระยะรุนแรง (สมรรถภาพของปอดลดลงอย่างมากแล้ว คือ FEV1 < 30% ของค่ามาตรฐาน) ก็มักจะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน (เช่น ภาวะการหายใจล้มเหลว ปอดอักเสบ ปอดทะลุ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอด เป็นต้น) ภายใน 1–5 ปี โดยเฉลี่ยผู้ป่วยทุกระดับของความรุนแรงมีอัตราตายมากกว่าร้อยละ 50 ใน 10 ปีหลังจากที่ได้รับการวินิจฉัยครั้งแรก

การดูแลตนเอง

หากมีอาการไอและเหนื่อยง่ายอย่างเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่สูบบุหรี่ หรืออยู่ในบรรยากาศที่มีฝุ่นควันนานๆ  ควรปรึกษาแพทย์

หากตรวจพบว่าเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง หรือถุงลมปอดโป่งพอง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ที่สำคัญคือ เลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด และหลีกเลี่ยงมลพิษในอากาศ ดื่มน้ำมาก ๆ (วันละ 8-12 แก้ว) เพื่อช่วยขับเสมหะ

2. ใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ โดยเรียนรู้วิธีใช้ยาที่ถูกต้อง และติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัดอย่างต่อเนื่อง

3. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย 
    เจ็บหน้าอกมาก หายใจหอบหรือหายใจลำบาก   
    ไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว หรือไอเป็นเลือด
    เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
    มีอาการหอบเหนื่อยมากขึ้น นอนราบไม่ได้ (เพราะรู้สึกหายใจลำบาก) หรือเท้าบวม
    ใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ 2-3 วันแล้วไม่ดีขึ้น 
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล

การป้องกัน

1. ที่สำคัญคือ การไม่สูบบุหรี่

2. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีมลพิษในอากาศ

3. หลีกเลี่ยงการใช้ฟืนก่อไฟภายในบ้านที่ขาดการถ่ายเทอากาศ

4. ถ้าเป็นโรคหลอดลมอักเสบและโรคหืด ควรได้รับการรักษาอย่างจริงจัง


ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่สูบบุหรี่จัด ควรหมั่นพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเริ่มมีอาการไอบ่อยทุกวันโดยไม่มีสาเหตุอื่นชัดเจน

2. ผู้ที่เริ่มเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรังหรือภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรังในระยะแรกเริ่ม ควรเลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด จะช่วยให้อาการไม่ลุกลามมากขึ้น ผู้ป่วยควรติดตามการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาทางช่วยให้เลิกบุหรี่ ให้ยาบรรเทาตามอาการ ประเมินสมรรถภาพของปอดและภาวะแทรกซ้อนเป็นระยะ ๆ

3. ผู้ป่วยและญาติควรศึกษาให้เข้าใจถึงธรรมชาติของโรคและแนวทางการดูแลรักษา ญาติควรเข้ามามีบทบาทในการให้กำลังใจผู้ป่วย ในการเลิกบุหรี่และการติดตามรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งดูแลเรื่องโภชนาการ (ผู้ป่วยระยะรุนแรงมักมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซึ่งจะทำให้ซ้ำเติมอาการหอบเหนื่อยมากขึ้น) การให้ออกซิเจนที่บ้าน (สำหรับผู้ป่วยระยะรุนแรง) การใช้ยารักษาให้ครบถ้วนตามที่แพทย์กำหนด การพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันทีที่สงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อน และการเตรียมพร้อมในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (end of life) ให้มีคุณภาพ ลดความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย และไม่ให้สิ้นเปลืองเกินเหตุ

4. โรคถุงลมปอดโป่งพอง อาจมีอาการหายใจหอบและได้ยินเสียงวี้ดคล้ายโรคหืด แต่ต่างกันตรงที่ถุงลมปอดโป่งพองจะเริ่มมีอาการในคนอายุ 50-60 ปีขึ้นไปที่มีประวัติสูบบุหรี่จัดหรือถูกมลพิษทางอากาศมาเป็นเวลานาน และมีอาการหอบเหนื่อยรุนแรงขึ้นทีละน้อยอย่างช้า ๆ (ใช้เวลานาน 5-10 ปีขึ้นไป) ส่วนโรคหืดมักจะเริ่มเป็นตั้งแต่วัยเด็ก มักมีประวัติโรคหืดหรือโรคภูมิแพ้ในครอบครัว และมีอาการหอบกำเริบเป็นครั้งคราว บางครั้งก็อาจแยกกันไม่ได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบในคนอายุมาก อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 โรคนี้มีแนวทางการดูแลรักษาคล้ายกัน และควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาจากแพทย์เป็นหลัก

15
แก้ไขปัญหาคางเบี้ยว ด้วยการจัดฟันเด็ก

สุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่ามีความสำคัญมาก และพ่อแม่ผู้ปกครองทีหน้าที่ที่จะคอยเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูก เพื่อที่เด็กจะได้เรียนรู้วิธีการดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันที่ถูกต้อง ควรที่จะปลูกฝังให้เด็กใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะไม่เช่นนั้น อาจจะทำให้เด็กมีปัญหาในเรื่องดังกล่าวได้ เพราะปัญหาเรื่องของช่องปากและฟันนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะการดูแลฟันไม่สะอาด แต่สามารถเกิดจากพฤติกรรมบงอย่างของเด็กที่ส่งผลทำให้เกิดปัญหาฟัน หรือปัญหาเรื่องโครงสร้างของใบหน้าได้ เช่น เด็กมีภาวะคางเบี้ยว ซึ่งอาการดังกล่าวนี้ การเข้ารับการจดฟันในเด็กสามารถแก้ไขได้


ซึ่งเด็กในวัยนี้ เหมาะสำหรับการจัดฟันในเด็ก โดยการใช้เครื่องมือ EF LINE ซึ่งเป็นการจัดฟันในเด็กที่สามารถแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุ ดังนั้น ตามหลักการแล้วหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต จึงจะมีประสิทธิภาพและสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง และพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดที่ลูกมีปัญหาในเรื่องของภาวะคางเบี้ยวหรือปัญหาด้านอื่นที่เกี่ยวกับความผิดปกติขิงกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ก็สามารถพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน ด้วยการรักษาด้วยเครื่องมือ EF LINEได้


ก่อนที่เราจะมาพูดถึงการแก้ไขปัญหาคางเบี้ยว เราจะมาพูดถึงเรื่องของเครื่องมือการจัดฟัน EF LINE ก่อน เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองบางท่านอาจจะยังไม่เข้าใจในกระบวนการการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF LINE ซึ่งเครื่องมือ EF LINE เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อทำการปรับแก้ไขปัญหาของกล้ามเนื้อซึ่งต้องร่วมกับการฝึกโดยการออกกำลังกล้ามเนื้อ การปรับเปลี่ยนการหายใจให้ถูกวิธี รวมถึงการใช้เครื่องมือเพื่อช่วยปรับการกลืนให้ถูกต้อง สามารถใช้ได้ตั้งแต่อายุ 4 -15 ปี สามารถแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น


และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า เป็นต้น หากเด็กมีปัญหาดังกล่าว พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาเด็กเข้ารับการตรวจเพื่อเข้ารับการแก้ไขด้วยการจัดฟันในเด็ก  เพื่อให้บุตรหลานของท่านไม่เสียโอกาสที่จะได้รับการแก้ไขปัญหาและช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าเพื่อผลการจัดฟันที่ดีขึ้น ใช้เวลาน้อยลง และประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย และยังช่วยส่งเสริมในเรื่องขอบสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กในอนาคตได้อีกด้วย สำหรับปัญหาคางเบี้ยว ขากรรไกรล่างเบนไปจากแนวกลางใบหน้า เนื่องจากตำแหน่งฟันผิดปกติ


ซึ่งอาจจะเกิดจากการสูญเสียฟันน้ำนมไปก่อนกำหนด จะมีผลทำให้กระดูกเบ้าฟันบริเวณนั้นเจริญเติบโตน้อยกว่าปกติ และมีการเคลื่อนที่ของฟันข้างเคียงเข้าสู่ช่องว่างนั้นแคบลง ไม่มีที่เพียงพอสำหรับการขึ้นของฟันแท้ที่จะขึ้นมาแทนที่ หรือที่เราเรียกว่า อาการฟันแท้หาย ซึ่งการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถแก้ไขได้ ดังน้ัน หากใช้เครื่องมือ EF LINE เพื่อปรับสมดุลกล้ามเนื้อ จะทำให้จัดฟันง่ายและเสร็จเร็วมากขึ้น ทั้งยังเป็นการป้องกันปัญหาการคืนกลับตำแหน่งเดิมของฟันหลังจัดฟันด้วย


หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดอยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ไม่ว่าจะเป้นการแก้ไขปัญหาฟันอื่นๆ ก็สามารถพาบุตรหลานเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันของทางคลินิกได้ เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดฟันในเด็ก และมีประสบการณ์อย่างยาวนาน จึงสามารถให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำได้อย่างถูกต้อง จึงมั่นใจได้ว่า ถ้าหากเด้กได้รับการจัดฟันในเด็กที่คลินิกก็จะทำให้เด็กมีฟันที่สวยงามเป้นะรรมชาติ มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัยได้อย่างแน่นอน เพราะเราอยากให้เด็กทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันและกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มที่และมีความสุข

หน้า: [1] 2 3 ... 12





















































รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ทำ SEO ติด Google
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี

รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ

smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์
แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย

เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี
โปรโมทเพจร้านค้า