ลงประกาศฟรี ติดอันดับ Google ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด เว็บขายฟรี

หมวดหมู่ทั่วไป => โพสฟรี เว็บประกาศ => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2024, 11:48:08 น.

หัวข้อ: การป้องกันโรคความดันสูง (Hypertension)
เริ่มหัวข้อโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2024, 11:48:08 น.
การป้องกันโรคความดันสูง (Hypertension) (https://doctorathome.com/disease-conditions/247)

การป้องกันโรคความดันสูงทำได้โดยการดูแลสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง เช่น เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักและผลไม้ เลือกอาหารประเภทปลาที่อุดมด้วยกรดไขมันอิ่มตัว หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์สีแดง อาหารไขมันสูง และอาหารที่มีโซเดียมปริมาณมาก ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่ไม่มากเกินไป งดสูบบุหรี่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

นอกจากนี้ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เครียด โดยทำงานอดิเรกหรือกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น นั่งสมาธิ พูดคุยกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวเมื่อรู้สึกไม่สบายใจ และควรตรวจสุขภาพประจำปี หากตรวจพบว่าตนเองมีปัญหาสุขภาพและได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ อาจช่วยลดความรุนแรงของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา


อาการของโรคความดันสูง ความดันโลหิตสูง (Hypertension)

โรคความดันสูงมักไม่แสดงความผิดปกติ แต่บางรายอาจมีอาการหลังจากเป็นมานานโดยไม่รู้ตัวจนเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นแล้ว โดยอาจพบอาการปวดศีรษะในตอนเช้า เลือดกำเดาไหล หัวใจเต้นผิดปกติ การมองเห็นเปลี่ยนแปลง หรือได้ยินเสียงในหู

นอกจากนี้ หากมีความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรงอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย คลื่นไส้ อาเจียน สับสน วิตกกังวล เจ็บหน้าอก และกล้ามเนือสั่น (Muscle Tremors)

ทั้งนี้ อาการที่บ่งบอกของโรคความดันสูงในระยะแรกยังไม่มีความเฉพาะเจาะจงและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล จึงเป็นเรื่องยากในการวิเคราะห์โรคจากอาการที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ป่วยหลายรายที่ไม่ได้ตรวจวัดความดันโลหิตและตรวจสุขภาพประจำปีไม่ทราบว่าตนเองกำลังเป็นโรคความดันสูง


การวินิจฉัยโรคความดันสูง ความดันโลหิตสูง (Hypertension)

การวินิจฉัยโรคความดันสูงไม่สามารถบ่งบอกได้จากอาการของผู้ป่วย แต่ต้องใช้การตรวจวัดความดันโลหิตเป็นหลัก ในปัจจุบันผู้ป่วยสามารถตรวจด้วยตนเองที่บ้านหรือตรวจในสถานพยาบาลอื่น ๆ โดยเครื่องวัดความดันโลหิตที่นิยมใช้มักเป็นแบบดิจิทัล เพราะใช้งานง่ายและสะดวก

เมื่อมาพบแพทย์ แพทย์จะสอบถามประวัติสุขภาพ อาการผิดปกติ โรคประจำตัวที่มีอยู่ และตรวจร่างกายร่วมกับการตรวจวัดค่าความดันโลหิตของผู้ป่วย เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ความดันสูงขึ้นหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนใดขึ้นหรือไม่

นอกจากนี้ แพทย์อาจจะตรวจด้านอื่นเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ผลที่แน่นอนก่อนรักษาขั้นต่อไป เช่น การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ การตรวจอัลตราซาวด์ไต การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography: ECG) หรือการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiography)

ค่าความดันโลหิตที่วัดได้จะแบ่งออกเป็น 2 ค่า โดยตัวแรก (หรือตัวบน) เรียกว่า ค่าความดันซิสโตลิก (Systolic) เป็นความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงขณะที่หัวใจบีบตัวเพื่อส่งเลือดไปในระบบไหลเวียนโลหิต และตัวที่สอง (หรือตัวล่าง) เรียกว่า ค่าความดันไดแอสโทลิก (Diastolic) เป็นค่าความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงขณะหัวใจคลายตัว

การตรวจวัดค่าความดันโลหิตจำเป็นต้องมีการตรวจซ้ำหลายครั้งเพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย โดยผู้ที่มีระดับความดันโลหิตสูง จะวัดค่าได้มากกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท ตามเกณฑ์ในการจำแนกโรคความดันสูงในผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไปดังนี้

    ระดับเหมาะสม วัดค่าได้น้อยกว่า 120/80 มิลลิเมตรปรอท
    ระดับปกติ วัดค่าได้ 120–129/80–84 มิลลิเมตรปรอท
    ระดับค่อนข้างสูง 130–139/85–89 มิลลิเมตรปรอท
    ระดับความดันโลหิตสูงระดับหนึ่ง 140–149/90–99 มิลลิเมตรปรอท
    ระดับความดันโลหิตสูงระดับสอง 160–179/100–109 มิลลิเมตรปรอท
    ระดับความดันโลหิตสูงระดับสาม มากกว่า 180/110 มิลลิเมตรปรอท